วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รางวัลซีไรต์ คือ...


รางวัลซีไรต์ คือ...


เมื่อต้นปี พ.ศ. 2522 ฝ่ายบริหารของโรงแรมโอเรียนเต็ลได้ริเริ่มรางวัลนี้ เนื่องจากโรงแรมโอเรียนเต็ลมีประวัติเกี่ยวข้องกับนักเขียนชั้นนำของโลกมาเป็นเวลาช้านาน จะเห็นได้จากการที่อาคารเก่าแก่ของโรงแรมที่ชื่อว่า "ตึกนักเขียน" (AUTHORS’ RESIDENCE) อันประกอบด้วยห้องชุดพิเศษ โดยใช้ชื่อนักเขียนคนสำคัญที่เคยมาพัก ได้แก่ ซอมเมอร์เซ้ท มอห์ม โนเอล โฆเวิด โจเซฟ คอนราด และเจมส์ มิเชนเนอร์ นอกจากนี้ยังมีห้องชุดเกรแฮม กรีน จอห์น เลอ คาร์เร่ และ บาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ ในตึกริเวอร์วิงด้วย

ฝ่ายบริหารของโรงแรมโอเรียนเต็ล จึงได้ร่วมปรึกษากับ บริษัท การบินไทย และกลุ่มบริษัทในเครืออิตัลไทย จัดตั้งรางวัลวรรณกรรมนี้ขึ้น โดยมีพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเปรม บุรฉัตร ทรงเป็นประธานและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย และสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย หัวข้อในการหารือในครั้งนั้น คือ การส่งเสริมสนับสนุนนักเขียนในกลุ่มอาเซียนทั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และ ไทย และการเผยแพร่ให้โลกรู้ถึงวัฒนธรรมทางวรรณกรรมของภูมิภาคนี้ ต่อมาได้มีประเทศต่างๆในกลุ่มอาเซียนทยอยเข้าร่วมงานซีไรต์จนครบสิบประเทศดังนี้ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ประเทศบรูไนดารุสซาลัมเข้าร่วมเมื่อปี 2529ประเทศเวียดนามเข้าร่วมเมื่อปี 2539 ประเทศลาว และพม่าเข้าร่วมเมื่อปี 2541 ประเทศกัมพูชาเข้าร่วมเมื่อปี 2542


วัตถุประสงค์มีดังนี้ คือ

*เพื่อให้เป็นที่รู้จักถึงความสามารถด้านสร้างสรรค์ของนักเขียนในกลุ่มประเทศอาเซียน
*เพื่อให้ทราบถึงโภคทรัพย์ทางวรรณกรรม ทรัพย์สินทางปัญญาวรรณศิลป์แห่งกลุ่มประเทศอาเซียน
*เพื่อรับทราบ รับรอง ส่งเสริมและจรรโลงเกียรติ อัจฉริยะ ทางวรรณกรรมของนักเขียนผู้สร้างสรรค์
*เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและสัมพันธภาพอันดีในหมู่นักเขียนและประชาชนทั่วไปในกลุ่มประเทศอาเซียน

กฎเกณฑ์การเลือกสรรงานวรรณกรรม มีดังนี้ คือ

*เป็นงานเขียนภาษาไทย

*เป็นงานริเริ่มของผู้เขียนเอง มิใช่งานแปลหรือแปลงจากของผู้อื่น

*ผู้เขียนยังมีชีวิตอยู่ขณะส่งงานเข้าประกวด

*เป็นงานตีพิมพ์เผยแพร่ (มี ISBN) เป็นเล่มครั้งแรกย้อนหลังไม่เกิน 3 ปี ภายในวันสิ้นกำหนดส่งงาน

*งานวรรณกรรมที่เคยได้รับรางวัลอื่นใดในประเทศไทยมาแล้วจะส่งเข้าพิจารณาอีกก็ได้

*รางวัลที่ตัดสินในแต่ละปีจะสลับประเภทของวรรณกรรม เป็น นวนิยาย กวีนิพนธ์ และเรื่องสั้น




รางวัลประกอบด้วย

*แผ่นโลหะจารึกเป็นอนุสรณ์เกียรติประวัติ

*นักเขียนไทยที่ได้รับรางวัลซีไรต์มีสิทธิเลือกไปเที่ยวประเทศใดประเทศหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ โดยผู้จัดจะเป็นผู้ออกค่าเดินทาง ค่าที่พัก และอาหาร ทั้งหมด สามารถใช้สิทธิภายในระยะเวลา 1 ปี

*นักเขียนกลุ่มประเทศอาเซียน 9 ประเทศ มารับรางวัลพร้อมกับทัศนาจรที่ประเทศไทยกับนักเขียนซีไรต์ไทย เป็นเวลา 1 สัปดาห์

*เงินสด



รายชื่อนักเขียนชาวไทย ผู้ได้รับรางวัลซีไรต์ เรียงลำดับตามปีที่ได้รับรางวัล



ปี พ.ศ.นักเขียนประเภทชื่อเรื่อง
พ.ศ. 2522 คำพูน บุญทวี นวนิยาย ลูกอีสาน
พ.ศ. 2523 เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีนิพนธ์ เพียงความเคลื่อนไหว
พ.ศ. 2524 อัศศิริ ธรรมโชติ รวมเรื่องสั้น ขุนทอง เจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง
พ.ศ. 2525 ชาติ กอบจิตติ นวนิยาย คำพิพากษา
พ.ศ. 2526 คมทวน คันธนู บทกวี นาฎกรรมบนลานกว้าง
พ.ศ. 2527 วาณิช จรุงกิจอนันต์ เรื่องสั้น ซอยเดียวกัน
พ.ศ. 2528 กฤษณา อโศกสิน นวนิยาย ปูนปิดทอง
พ.ศ. 2529 อังคาร กัลยาณพงศ์ บทกวี ปณิธานกวี
พ.ศ. 2530 ไพฑูรย์ ธัญญา เรื่องสั้น ก่อกองทราย
พ.ศ. 2531 นิคม รายยวา นวนิยาย ตลิ่งสูง ซูงหนัก
พ.ศ. 2532 จิระนันท์ พิตรปรีชา บทกวี ใบไม้ที่หายไป
พ.ศ. 2533 อัญชัน รวมเรื่องสั้น อัญมณีแห่งชีวิต
พ.ศ. 2534 มาลา คำจันทร์ นวนิยาย เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน
พ.ศ. 2535 ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ บทกวี มือนั้นสีขาว
พ.ศ. 2536 ศิลา โคมฉาย เรื่องสั้น ครอบครัวกลางถนน
พ.ศ. 2537 ชาติ กอบจิตติ นวนิยาย เวลา
พ.ศ. 2538 ไพวรินทร์ ขาวงาม บทกวี ม้าก้านกล้วย
พ.ศ. 2539 กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เรื่องสั้น แผ่นดินอื่น
พ.ศ. 2540 วินทร์ เลียววาริณ นวนิยาย ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
พ.ศ. 2541 แรคำ ประโดยคำ บทกวี ในเวลา
พ.ศ. 2542 วินทร์ เลียววาริณ เรื่องสั้น สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน
พ.ศ. 2543 วิมล ไทรนิ่มนวล นวนิยาย อมตะ
พ.ศ. 2544 โชคชัย บัณฑิต' บทกวี บ้านเก่า
พ.ศ. 2545 ปราบดา หยุ่น เรื่องสั้น ความน่าจะเป็น
พ.ศ. 2546 เดือนวาด พิมวนา นวนิยาย ช่างสำราญ
พ.ศ. 2547 เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ กวีนิพนธ์ แม่น้ำรำลึก
พ.ศ. 2548 บินหลา สันกาลาคีรี เรื่องสั้น เจ้าหงิญ
พ.ศ. 2549 งามพรรณ เวชชาชีวะ นวนิยาย ความสุขของกะทิ
พ.ศ. 2550 มนตรี ศรียงค์ บทกวี โลกในดวงตาข้าพเจ้า
พ.ศ. 2551 วัชระ สัจจะสารสิน รวมเรื่องสั้น เราหลงลืมอะไรบางอย่าง”

รางวัลโนเบล


รางวัลโนเบลเป็นความตั้งใจก่อนเสียชีวิตของ อัลเฟรด โนเบล (Alfred Nobel) นักเคมีชาวสวีเดนผู้คิดค้นระเบิดไดนาไมต์ ซึ่งรู้สึกเสียใจจากการที่ระเบิดของเขาถูกนำไปใช้ในการคร่าชีวิตมนุษย์ เขาจึงมอบ94% ของทรัพย์สินมาให้เป็นเงินทุนในรางวัลโนเบล 5 สาขา (เคมี, การแพทย์, วรรณกรรม, สันติภาพ และฟิสิกส์)
สำหรับสาขาเศรษฐศาสตร์นั้น ได้เพิ่มเข้ามาเมื่อ พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969)โดยธนาคารแห่งชาติสวีเดน โดยชื่ออย่างเป็นทางการคือ Bank of Sweden Prize in Economic Sciences in Memory of Alfred Nobel (รางวัลธนาคารกลางสวีเดน สาขาเศรษฐศาสตร์ ในความทรงจำถึง อัลเฟรด โนเบล) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Nobel Memorial Prize in Economics โดยผู้ตัดสินรางวัลคือ Royal Swedish Academy of Sciences. เนื่องจากรางวัลนี้ไม่ได้อยู่ในความตั้งใจก่อนเสียชีวิตของ อัลเฟรด โนเบล ดังนั้นจึงไม่ได้รับเงินรางวัลจากมูลนิธิโนเบล แต่ได้รับเงินจากธนาคารกลางสวีเดน อย่างไรก็ตาม รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์มีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากับรางวัลในสาขาอื่น ๆ การมอบรางวัลนี้ ก็จะมอบในวันเดียวกันกับรางวัลโนเบลสาขาอื่น โดยมีกษัตริย์สวีเดนเป็นผู้มอบตั้งแต่ปี 1902 เป็นต้นมา ได้รับเหรียญตรา และจำนวนเงินเท่าเทียมกัน ซึ่งในตอนแรกนั้นกษัตริย์ออสการ์ที่ 2 แห่งสวีเดนทรงไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการมอบรางวัลที่สำคัญสูงสุดระดับประเทศนี้ให้กับคนต่างชาติ แต่สุดท้ายพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนพระทัยเนื่องจากทรงเล็งเห็นว่ารางวัลที่สำคัญนี้จะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ

ประเทศในตะวันออกกลาง



ประเทศในตะวันออกกลาง

บาห์เรน                            เมืองหลวงคือ มานามา
อียิปต์                               เมืองหลวงคือ ไคโร
อิหร่าน                             เมืองหลวงคือ เตหะราน
ตุรกี                                  เมืองหลวงคือ อังการา
อิรัก                                  เมืองหลวงคือ แบกแดด
อิสราเอล                         เมืองหลวงคือ เยรูซาเล็ม
จอร์แดน                          เมืองหลวงคือ อัมมาน
คูเวต                               เมืองหลวงคือ คูเวตซิตี้
เลบานอน                        เมืองหลวงคือ เบรุต
โอมาน                            เมืองหลวงคือ มัสกัต
กาตาร์                             เมืองหลวงคือ โดฮา
ซาอุดีอาระเบีย                เมืองหลวงคือ ริยาด
ซีเรีย                                เมืองหลวงคือ ดามัสกัส
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์     เมืองหลวงคือ อาบูดาบี
เยเมน                              เมืองหลวงคือ ซานา
และดินแดนปาเลสไตน์ (เวสต์แบงก์และฉนวนกาซา)

วรรณกรรมลูกอีสาน



  

ลูกอีสาน เป็นการนำเอาเรื่องราว จากประสบการณ์ ที่ผู้เขียนพบเห็น ถ่ายทอดในรูปนิยาย โดยได้เขียนเป็นตอนๆ ประมาณ36 ตอน เพื่อพิมพ์ลง ในนิตยสารฟ้าเมืองไทย ช่วงปีพ.ศ.2518-2519 ลูกอีสาน ใช้วิธีการเล่าเรื่องราว โดยผ่านเด็กชายคูน ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ ในถิ่นชนบท ของอีสาน แถบที่จัดได้ว่า เป็นถิ่นที่แห้งแล้ง แห่งหนึ่งของไทย ผู้เขียนได้เล่าถึง ขนบธรรมเนียม ประเพณี ตลอดจน ความเชื่อของชาวอีสาน รวมไปถึง การบรรยาย ถึงสภาพความเป็นไป ตามธรรมชาติ ของผู้คน และสภาพแวดล้อม เช่น การเกี้ยวพาราสีกัน ของทิดจุ่น และพี่คำกอง จนท้ายที่สุด ก็ได้แต่งงานกัน การออกไปจับจิ้งหรีดของคูน การเดินทางไปหาปลา ที่ลำน้ำชี เพื่อนำปลามาทำอาหาร และเก็บถนอม เอาไว้กินนานๆ ด้วยการทำปลาร้า เป็นต้น นอกจากนั้น ยังแทรกความสนุกสนาน เพลิดเพลิน จากการทำบุญ ตามประเพณี ไว้หลายตอน ด้วยเช่นกัน ได้แก่ การจ้างหมอลำหนู ซึ่งเป็นหมอลำ ประจำหมู่บ้าน ลำคู่กับหมอลำฝ่ายหญิง ที่ว่าจ้างมาจากหมู่บ้านอื่น ทั้งกลอนลำ และการแสดงออก ของหมอลำทั้งสอง สร้างความสนุกสนาน ครึกครื้น แก่ผู้ชมที่มาเที่ยวงาน อย่างมาก ลูกอีสาน เป็นการถ่ายทอดเรื่องราว จากประสบการณ์ ด้วยภาษาที่ตรงไปตรงมา และแสดงให้เห็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ของชาวอีสานว่า ต้องเผชิญ กับความยากลำบากอย่างไร การเรียนรู้ ที่จะอดทน เพื่อเอาชนะ กับความยากแค้น ตามธรรมชาติ ด้วยความมานะบากบั่น ความเอื้ออารี ที่มีให้กันในหมู่คณะ ความเคารพ ในระบบอาวุโส สิ่งเหล่านี้ ปรากฏอยู่ในแต่ละตอน ของลูกอีสาน รวมทั้ง การแทรกอารมณ์ขัน ลงไปด้วย


วรรณกรรมอยู่กับก๋ง B)



เรื่องย่ออยู่กับก๋ง



บ้านสวน พ.ศ.2548 หยก ชาย ชราวัย 60 ปี ประสบความสำเร็จในอาชีพนักเขียนของตน มีผลงานตีพิมพ์มากมาย ทุก วันนี้เขาอาศัยอยู่กับครอบครัวใหญ่ มีลูกหลานมากมาย เมื่อ มองภาพครอบครัวที่อบอุ่นอย่างทุกวันนี้ หยก มักจะย้อนคิดถึงวัยเด็กที่มีเพียงเขาและ ก๋ง ทุกครั้ง

ก๋ง ชาย ชราชาวจีนที่อพยพเข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลก ก๋งเป็นช่างฝีมือ ประกอบ อาชีพหลักคืองานซ่อมเซรามิค อันเป็นวิชาที่ติดตัวมาจากเมืองจีน ความ คิดอ่านที่กว้างไกลและความเมตตาของก๋ง ทำให้ ก๋งได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนมากมายในชุมชนห้องแถวที่อาศัยอยู่ ซึ่ง ผลบุญนี้ได้ตกมาถึง หยก เด็กกำพร้าที่ก๋งได้อุปการะไว้ หยก เติบโตอย่างอบอุ่นภายใต้การเลี้ยงดูของก๋ง แต่ เขาก็ยังรู้สึกถึงความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง หยก มักสงสัยว่าทำไมตนจึงไม่มีพ่อแม่เหมือนคนอื่น จนวัน หนึ่งหยกได้พบเห็นเด็กกำพร้าที่ถูกเอามาวางทิ้งไว้ หยก จึงได้เข้าใจว่าโลกนี้ยังมีเด็กโชคร้ายอีกหลายคนนัก และเพื่อนเขาบางคนเช่น ป้อม ลูก ชายของ คุณนายทองห่อ กับคุณปลัด ที่แม้จะมีพ่อแม่พร้อมหน้า หาก หยกได้รู้ความจริงว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น มีแต่การปั้นหน้าใส่กัน หยกจึงเข้าใจว่า แท้ จริงแล้วการที่เขามีก๋งคอยให้ความรักกับเขาอย่างแท้จริงต่างหากที่ทำให้เขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว

ชุมชน ห้องแถวที่ก๋งและหยกอาศัยอยู่เป็นแหล่งรวมคนจีนมากหน้า เพื่อน บ้านที่สนิทกันอยู่ก็คือ เง็กจู ซึ่ง เป็นที่ยึดติดกับธรรมเนียมจีนอย่างเหนียวแน่น และไม่ค่อยยอมรับความเปลี่ยนแปลง เง็ก จูมีลูกชายคือ เพ้ง และลูกสาวคือ เกียว หลายครั้งที่เง็กจูมีปัญหากับลูก ก๋งจะ เป็นคนคอยแก้ปัญหาให้ทุกครั้ง ไม่ ว่าจะเป็นตอนที่เกียวแหกประเพณีเดิมของผู้หญิงจีน หนีไปเรียนภาคค่ำ หรือ ตอนที่เพ้งรับ นวล ภรรยาคนไทยเข้าบ้าน จนเง็กจูขู่จะฆ่าตัวตาย ก๋ง เป็นคนชี้ทางสว่างให้เง็กจูเห็นและยอมปรับทัศนคติเพื่ออยู่ร่วมกับลูกหลานในโลกปัจจุบันให้ได้

หรือแม้แต่คนไทยบางคนที่ มาเช่าบ้านอยู่ในชุมชนจีนนี้ ก๋งก็ เป็นคนจีนคนเดียวที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ขณะที่คนจีนคนอื่นๆ ตั้ง แง่รังเกียจ ไม่ว่าจะเป็น สมพร หญิงสาวผู้โชคร้ายที่หนีออกมาจากซ่องโสเภณี แฉล้ม และไพศาล คู่ผัวเมียที่ทะเยอทะยานในวัตถุจนตกเป็นทาสการพนัน และหาญ กับ จำเรียง หนุ่มสาวที่วิวาห์เหาะมาจากกรุงเทพฯ ชุมชนห้องแถว พ.ศ.2548 หยก กลับ ไปเยี่ยมชุมชนห้องแถวอีกครั้ง เขาเพ่งมองภาพถ่ายขาวดำของงานวันแซยิด ใน ห้องแถวหลังเก่าของตัวเอง เรื่องราวเก่าๆ ยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำของเขา แม้ ว่าวันนี้ชุมชนห้องแถวจะเปลี่ยนแปลงและเจริญขึ้นมากกว่าวันก่อนแล้วก็ตาม หน้า ห้องแถวห้องหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งนอนอ่านหนังสือให้อากงของตัวเองฟัง หยก นึกถึงภาพตัวเองกับก๋งในวัยเด็ก และยิ้มออกมาเมื่อเห็นชื่อหนังสือ “อยู่ กับก๋ง” บน หน้าปก หยกเหม่อมองท้องฟ้าราวกับจะมองหาก๋ง อยากให้ก๋งได้เห็นว่าวันนี้ เขา ได้ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับก๋งแล้ว

 

 

ความ คิดที่ได้จาก เรื่อง อยู่กับ ก๋ง

ความยาก จน...กำลังใจของชีวิต

ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ ควรอายที่เป็นคนเลว เพราะความจนความรวยเราเลือกไม่ได้ แต่ความดีความเลว เรา เลือกทำเลือกเว้นได้...ความสุขของคนร่ำรวย คือ การ นั่งเก็บเกี่ยวผลไม้จากงานที่ทำสำเร็จไปแล้วในอดีต แต่คน จนมีความสุขกับการได้เริ่มทำงาน ความจนเป็นนายที่คอยชี้นิ้วบัญชา ความ ดิ้นรนเป็นมือที่คอยผลักดัน ความเพียรเป็นพี่เลี้ยงคอยพยุงมิให้ระทดท้อ เทพเจ้า แห่งความโชคดีไม่เคยเอื้อมมือมาแตะหน้าผากอวยชัยคนที่เกียจคร้าน ก๋ง สอนให้หยกยอมรับความเป็นจริงของชีวิต มีความมั่นใจในตัวเอง...เข้มแข็ง บุกบั่น เพื่อความอยู่รอด หยกเป็นสุขได้ในความขัดสนยากจน และ ไม่เคยท้อแท้

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

คำศัพท์ [lexique] :



- varier (v.) = แตกต่าง, หลากหลาย
- selon (prép) = ตาม, สอดคล้องกับ
- (s') adresser = พูด, กล่าว, แสดง, ส่ง
- voeu(x) (n.m.) = คำอวยพร, ความปรารถนา
- gui (n.m.) = เถาวัลย์ไม้ชนิดหนึ่ง
- accrocher (v.) = แขวนไว้, เกี่ยวไว้กับ
- porter bonheur (v.) = นำความสุขหรือโชคมาให้
- galette (n.f.) = ขนมชนิดหนึ่ง นิยมรับประทานกันในเทศกาล fête des rois
- contenir (v.) = ประกอบไปด้วย, บรรจุ
- fève (n.f.) = เมล็ดถั่ว
- bander (v.) = ปิด, คาดด้วยแถบผ้า...
- avaler (v.) = กลืน
- couronner (v.) = สวมมงกุฎ
- fin / fine (adj.) = บาง, ละเอียด, ประณีต
- doré (adj.) = ที่เป็นสีทอง
- regard (n.m.) = สายตา, การมอง
- admiratif / admirative (adj.) = ที่ชื่นชม / admirer (v.) = ชื่นชม, ชื่นชอบ
- sauter (v.) = กระโดด, โยนให้ลอยขึ้นไป
- carnaval (n.m) = งานคาร์นาวัล
- précéder (v.) = นำ, นำหน้ามา
- carême (n.m.) = การถือศิลอด
- jeûne n.m) = การงดอาหาร
- pratiquant (adj. et n.) = บุคคลที่เคร่ง, ที่ฝึกปฎิบัติ
- se déguiser (v.) = แปลงโฉม, แปลงร่าง, อำพรางกาย
- amoureux (adj. et n.) = ที่มีความรัก, คนที่มีความรัก
- comémorer (v.) = ระลึกถีง
- résurrection (n.f.) = การฟื้นคืนชีพ
- déposer (v.) = วางไว้, ปล่อยไว้
- survoler (v.) = บินเหนือ
- farce (n.f.) = เรื่องตลก, เรื่องหยอกล้อ [= blague]
- impôt (n.m.) = ภาษีรายได้
- tache (n.f.) = รอยเปื้อน
- Poisson d'avril ! poisson d'avril ! [ใช้พูดเมื่อเราอำหรือหรอกใครได้เป็นผลสำเร็จ = April Fool !]
- muguet (n.m.) = ดอกไม้ชนิดหนึ่งมีสีขาวและกลิ่นหอม มีลักษณะเป็นรูปทรงกระดิ่งเล็ก
- tellement (adv.) = มาก, มากเหลือเกิน
- sentir bon (mauvais) = มีกลิ่นหอม (เหม็น)
- brin (n.m.) = กิ่งเล็กๆ
- jouer aux boules = เล่นกีฬาเปตอง (=faire une partie de pétanque)
- reprendre le chemin de ... = กลับ (มาทำงาน, มาโรงเรียน ...)
- manifestation (n.f.) = การแสดงออก
- spontané (adj.) = (ในที่นี้ = การแสดง) สด, ปัจจุบันทันด่วน
- organisé (adj.) = (ในที่นี้ = การแสดง) ที่จัดหรือเตรียมการ
- autour (prép.) = รอบๆ, (ในที่นี้ = เกี่ยวกับ)
- veille (n.f.) = วันก่อนหน้า(วันงานหรือเทศกาล)
- feu(x) d'artifice (n.m) = พลุ, ดอกไม้ไฟ
- lendemain (n.m.) = วันรุ่งขึ้น (วันหลังจากงานหรือเทศกาล)
- applaudir (v.) = ปรบมือ
- défilé (n.m.) = การเดินแถว, การเดินโชว์ / un défilé militaire = การเดินสวนสนามของทหาร / un défilé de mode = การเดินแฟชั่น
- malgré (prép.) = ทั้งๆที่, ถึงแม้ว่า
- effort (n.m.) = ความพยายาม
- être retenu (v. au passif) = ถูกรั้งไว้, ติดธุระ, ไม่ว่าง
- lavage (n.m.) = การซักล้าง / laver (v.) = ซัก, ล้าง
- repassage (n.m.) = การรีดผ้า / repasser le linge (v.) = รีดผ้า
- merveille (n.f.) = ความมหัศจรรย์, สิ่งมหัศจรรย์ / merveilleux / merveilleuse (adj.) = มหัศจรรย์
- (se) garer (v.) = จอดรถ...
- sauf (prép.) = ยกเว้น, นอกจาก
- (s') étonner (v.) = ทำให้ประหลาดใจ, รู้สึกประหลาดใจ
- place (n.f.) = (ในที่นี้)จตุรัส, ที่ว่าง, ที่นั่ง, สถานะ
- désert / déserte (adj.) = ที่ไร้ผู้คน, ที่ว่างเปล่า
- moindre (adj.) = (ขั้นสูงสุดของ petit) เล็ก, น้อยที่สุด
- carré (adj. et n.m.) = (สี่เหลียมจตุรัส) ตาราง (เมตร, กิโลเมตร..)
- mort (adj.) = ที่ตายแล้ว / un mort (n.m.) = คนที่ตาย / la mort (n.f.) = ความตาย
- cimetière (n.m.) = สุสาน, ที่ฝังศพ
- fleurir (n.f.) = ประดับด้วยดอกไม้, ผลิดอก, ออกดอก
- congé (n.m.) = วันหยุด
- coiffer (v.) = ทำผม / coiffe (n.f.) = เครื่องประดับผม / coiffure (n.f.) = ทรงผม / coiffeur / coiffeuse (n.) = ช่างทำผม
- saint(e) (n.) = นักบุญ
- fabriquer (v.) = ผลิต, ทำขึ้น
- bonnet (n.m.) = หมวก
- original (adj.) = แปลก, ประหลาด
- maison de couture (n.f.) = ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า
- catherinette (n.f.) = สาวๆที่ชื่อคาทรีน (สาวน้อยคาทรีน)
- tant (adv.) = มาก, มากเหลือเกิน
- lumière (n.f.) = แสง
- sapin (n.m.) = ต้นสน / sapin de Noël = ต้นคริสต์มาส
- cloche (n.f.) = กระดิ่ง, ระฆัง
- composer (v.) = ประกอบขึ้นเป็น, ทำขึ้น
- réveillon (n.f.) = อาหารมื้อพิเศษ ที่รับประทานกันในวันคริสต์มาส และ วันขึ้นปีใหม่
- bûche de Noël (n.f.) = ขนมเค๊กรูปฟืนไม้ ที่รับประทานกัน ในวันคริสต์มาส
- dinde (n.f.) = / dindon (n.m.) = ไก่งวง
- cheminée (n.f.) = (ในที่นี้)เตาผิง, ปล่องไฟ
- prendre la route (v.) = ออกเดินทาง

ประวัติ " ครูหวังเต๊ะ "








นายหวังดี นิมา หรือ เป็นที่รู้จักกันดีว่า “หวังเต๊ะ” เกิดเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2468 ปัจจุบันพักอาศัย ที่ตำบลหน้าไม้ อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี หวังเต๊ะ เป็นศิลปินผู้มีความสามารถเป็นเลิศ ด้านศิลปะเพลงพื้นบ้าน มีความชำนาญเป็นพิเศษในการแสดงลำตัด โดยตั้งชื่อคณะว่า“ลำตัดหวังเต๊ะ” รับงานแสดงเป็นอาชีพมาจนถึงปัจจุบันกว่า 40 ปี จนชื่อหวังเต๊ะแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ ของลำตัด กล่าว ได้ว่า หวังเต๊ะ เป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์และสืบทอดศิลปะ การแสดงพื้นบ้าน ให้ยืนยงอยู่ได้อย่างน่า ภาคภูมิใจยิ่ง นอกจากนั้น ครูหวังเต๊ะ ยังเป็นศิลปินผู้มีคุณธรรมได้ใช้ศิลปะการแสดงเป็นสัมมาชีพอย่างซื่อสัตย์ตลอดมา ทั้งได้ถ่ายทอดศิลปะวิชาให้แก้ทั้งบุคคลในคณะและสถาบันต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ นับได้ว่า หวังเต๊ะ เป็นศิลปิน ที่ได้บำเพ็ญประโยชน์ ทั้งด้านสร้างสรรค์และอนุรักษ์ศิลปะ อันเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมไทย มาตลอด ระยะเวลายาวนาน จนได้รับการเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน) ประจำปี 2531 ในบั้นปลายชีวิต ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จนกระทั่งถึงวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ก็ถึงแก่กรรม สิริอายุได้ 87 ปี

ประวัติ " ศรคีรี ศรีประจวบ "





สงอม ทองประสงค์ หรือ ศรคีรี ศรีประจวบ เกิดวันที่ 4 มีนาคม2487 ที่บ้านเลขที่ 13 บ้านหนองอ้อ ต. บางกระบือ อ.บางคณที จ.สมุทรสงคราม มีชื่อเล่นว่าน้อย เป็นบุตรนายมั่ง นางเชื้อ ทองประสงค์ ครอบครัวมีอาชีพทำน้ำตาลปี๊บมีพี่น้อง 6 คน เขาเป็นคนสุดท้อง เรียนจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนพรหมสวัสดิ์สาธร หลังจบการศึกษาก็มาช่วยครอบครัวปาดตาล (มะพร้าว) โดย ระหว่างที่พักเหนื่อยอยู่บนยอดมะพร้าวก็มักจะร้องเพลงอยู่บนนั้น จนหายเหนื่อยแล้วค่อยทำงานต่อ เพลงที่ชอบร้องก็มี "เสือสำนึกบาป" , "ชายสามโบสถ์" เพราะตอนนั้นเพลงของ คำรณ สัมบุณนานนท์ กำลังฮิต ตอนนั้นเขาอยากเป็นนักร้องใจแทบขาด เวลาวงดนตรีของครู พยงค์ มุกดา มาแสดงใกล้บ้าน เขาก็ไปสมัครร้องเพลง แต่พอร้องให้ครูพยงค์ฟัง แกก็บอกว่าให้ไปหัดร้องมาใหม่ เขาพยายามอยู่ 2 ครั้ง ครูพยงค์ก็บอกว่ายังไม่ดี เขาเลยท้อและเลิกไปเอง จากนั้นพออายุ 20 ปี บวชได้พรรษาหนึ่งก็สึก ตอนนั้นพ่อแม่เขาไปซื้อไร่ทำสัปปะรดที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เขาก็เลยย้ายไปที่นั่น แต่ ประวัติอีกกระแสบอกว่า เพราะรักครั้งแรกเป็นพิษขณะที่บวช เมื่อว่าที่พ่อตาให้ลูกสาวแต่งงานกับชายอื่น เขาจึงเตลิดหนีออกจากบ้านมาอยู่กับพี่ชายที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยพี่ชายแบ่งไร่สับปะรดให้ทำ จะอย่างไรก็ตาม ที่นี่ เขาได้เริ่มร้องเพลงอีกครั้ง โดยเข้าประกวดร้องเพลงตามงานวัด และคว้ารางวัลมากมาย จนเพื่อนชื่อ พยงค์ วงศ์สัมพันธ์ ชวนให้ร่วมวงที่เช่าเครื่องดนตรี และจ้างครูดนตรีจากที่ค่าย "ธนะรัชต์" มาสอน เพื่อสร้างความสนุกในหมู่บ้าน ต่อมาเมื่อคนรู้จักมากขึ้น จึงตั้งวง "รวมดาววัยรุ่น" ที่ต่อ มาเปลี่ยนชื่อเป็น "รวมดาวเมืองปราณ" รับงานแสดงทั่วไปตามบ้านที่ขายสับปะรดได้โดยไม่คิดเงินทอง ตอนนั้นศรคีรีร้องเพลงแบบรำวง และใช้ชื่อ "พนมน้อย" เพราะร้องเพลงของ พนม นพพร และศักดิ์ชาย วันชัย ต่อมาได้นำวงมาแสดงในงานปีใหม่ของจังหวัด "ประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ฟังเสียง และเห็นหน้าก็รักใคร่ชอบพอ จึงเปลี่ยนชื่อให้เป็น ศรคีรี ศรีประจวบ หลังจากนั้น วิจิตร ฤกษ์ศิลป์วิทยา คนอยู่ใกล้บ้านกันให้การสนับสนุนเพื่อสร้างวงดนตรีแข็งแรงขึ้นและพากันเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเช่าเวลารายการวิทยุยานเกราะจาก จำรัส วิภาตะวัธ พวกเขาวิ่งขึ้นล่องกรุงเทพฯ - ประจวบฯอยู่บ่อยๆ และก็ได้พบกับ เพลิน พนาวัลย์ ที่พาเขาไปพบ ครูไพบูลย์ บุตรขัน ที่บ้าน ตามคำขอร้องของศรคีรี เพื่อขอเพลงมาร้อง ภูพาน เพชรปฐมพร นักร้องที่ใกล้ชิดกับศรคีรีในวง “ รวมดาววัยรุ่น “ เล่าว่า ตอนไปขอเพลง ตอนนั้นครูมีนักร้องที่ดังมากคือ รุ่งเพชร แหลมสิงห์ เป็นลูกศิษย์เอกอยู่ ศรคีรีก็ร้องเพลงแนวเดียวกันกับรุ่งเพชร ครูไพบูลย์ก็จึงไม่ให้เพลง เขาจึงต้องเทียวไปเทียวมาอยู่หลายครั้ง จนครูใจอ่อน ประกอบกับตอนนั้นครูไพบูลย์ ผิดใจกับรุ่งเพชรด้วย เพลง แรกที่ได้มาคือ น้ำท่วม ตอนที่บันทึกเพลงนี้ น้ำเกิดท่วม จ. ประจวบคีรีขันธ์พอดี เสียหายอย่างมาก สับปะรดถูกน้ำท่วมทั้งหมด นอกจากนั้น ครูก็ยังให้เพลงมาอีก 3 เพลง คือ "บุพเพสันนิวาส" , "แม่ค้าตาคม" , "วาสนาพี่น้อย" สำหรับการบันทึกเสียงครั้งแรกนั้น ชุดแรกมีทั้งหมด6 เพลง คือ น้ำท่วม, บุพเพสันนิวาส, วาสนาพี่น้อย, แม่ค้าตาคม, พอหรือยัง และบางช้าง งานนี้ ศรคีรี เปลี่ยนสภาพจากนักร้องเพลง รำวง มาเป็น นักร้องเพลงหวานโดยสมบูรณ์ หลังจากเพลง เริ่มเป็นที่รู้จัก ศรคีรีลงมาอยู่กรุงเทพฯ แต่ยังไม่นำวงดนตรีมาด้วย โดยจะนำมาก็แต่เมื่อมีงาน ครั้งแรกในกรุงเทพฯ เขาเปิดการแสดงงานศพน้องชายครูไพบูลย์ที่วัดหลักสี่ บางเขน จากนั้นวงก็เริ่มรับงานในกรุงเทพฯ และเดินสายทั่วประเทศ ซึ่งในการออกเดินสายใต้เป็นครั้ง แรก วงประสบความสำเร็จอย่างงดงามจัดว่าเป็นวงที่มีค่าตัวแพงวงหนึ่ง ช่วงนั้นศรคีรีได้มีโอกาสแสดงหนังของ ครูรังสี ทัศนพยัคฆ์ เรื่อง "มนต์รักจากใจ" ด้วย ต่อมา ศรคีรีมีชื่อเข้าไปพัวพันคดีสังหารคนในวงการด้วยกัน ชื่อเสียงจึงตกลงไปบ้าง แต่ในที่สุดก็พิสูจน์ตัวเองได้ และกลับมาอีกครั้งในเพลง "ตะวันรอนที่หนองหาร" "อยากรู้ใจเธอ" รักแล้งเดือนห้า" "ลานรักลั่นทม" และ "คิดถึงพี่ไหม" ซึ่งเพลงหลังนี้ ขณะบันทึกเสียงศรคีรีร้องโดยปิดไฟมืด ซึ่งเขาไม่เคยทำมาก่อน เพลงนี้แต่งโดย พยงค์ มุกดา โดย ทิว สุโขทัย เคยร้องไว้เป็นคนแรกและเสียชีวิตไปหลังจากที่ร้องไว้ไม่นาน และเพลงนี้ก็เป็นเพลงสุดท้ายที่ศรคีรีได้บันทึกเสียงไว้ด้วย ก่อน เสียชีวิต ศรคีรีเคยไปทำการแสดงที่โรงหนังเอกมัยราม่า มีคนนำเอาพวงมาลัยดอกไม้สด แต่คาดด้วยผ้าดำแบบที่ทำไว้สำหรับคนตายมอบให้บนเวทีขณะร้องเพลง ศรคีรีรับไว้ด้วยความเกรงใจ เมื่อกลับเข้าหลังเวที ศรคีรีสั่งเลิกการแสดงคืนนั้นทันทีทั้งที่ร้องเพลงได้เพียง 5 เพลง ด้วย วัยแค่ 32 ปี ศรคีรี ศรีประจวบ จากโลกนี้ไปเมื่อ 30 มกราคม 2515 ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ประมาณ 03.00 - 05.00 น.บริเวณริมถนนสายเอเชีย อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร ขณะเดินทางกลับจากการแสดงที่วัดหน้าพระธาตุ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์เข้ากรุงเทพฯ เพื่อเปิดทำการแสดงที่วัดภาษี เอกมัย ในตอนค่ำ คาดว่าคนขับรถของศรคีรีเกิดง่วงนอน จึงจอดรถเก๋งโตโยต้าคราวน์ข้างทางเพื่อพักสักงีบ แต่ปรากฏว่ารถบรรทุกไม้ วิ่งมาด้วยความเร็วสูงประกอบกับบริเวณนั้นเป็นสะพานสูง เมื่อรถบรรทุกไม้วิ่งมาด้วยความเร็ว เมื่อถึงสะพานก็ทำให้รถกระโดดเสียหลัก ขึ้นไปทับรถของศรคีรี ทำให้เขาเสียชีวิตคาที่ หลัง แสดงวันนั้น ลูกวงได้ออกเดินทางมายังจุดนัดพบที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งก่อน แต่หลังจากที่ลูกวงรออยู่นาน หัวหน้าวงยังเดินทางมาไม่ถึง จึงออกเดินทางต่อ แต่วิ่งไปสักระยะหนึ่ง ก็มีรถพลเมืองดีวิ่งไล่ตามและเรียกให้จอด เพื่อแจ้งข่าวเรื่องการประสบอุบัติเหตุของรถของศรคีรี หลังพบใบปลิวการแสดงปลิวออกจากรถศรคีรีเกลื่อนกลาด หลังรถบัสวิ่งกลับไปก็พบศพดังกล่าว ข้อมูลบางแหล่งบอกว่า ศรคีรี เสียชีวิตประมาณ 8.00 น.ซึ่งเวลาดังกล่าวน่าจะเป็นเวลาพบศพมากกว่า ก่อนเสียชีวิต ศรคีรี สมรสแล้ว โดยมีบุตรธิดารวม 3 คน เป็นชาย 2 หญิง 1 ชื่อ สมศักดิ์ ชนัญญา และสันติ
ครูไพบูลย์ บุตรขัน เคยเขียนไว้อาลัยการจากไปของศรคีรีว่า "แด่สุดรัก เธอเกิดมาเป็นผู้กล่อมโลก ฉันเป็นผู้ถ่ายทอดอารมณ์ บัดนี้เธอจากโลกไปแล้วเหลือเพียงเสียงเพลง ศรคีรี ศรีประจวบ ฉันเสียดาย เสียดายจริงๆ เพราะเธอควรจะอยู่กล่อมโลกให้นานกว่านี้ "

ประวัติ " แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ "


แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ มีนามจริงว่า นางเกลียว เสร็จกิจ เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พุทธศักราช 2490 ที่ ต.วงน้ำซับ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เป็นบุตรของนายอัง และนางปลด เสร็จกิจ มีพี่น้อง 3 คน สมรสกับนายเสวี ธราพร มีบุตร 3 คน เป็น ชาย 1 คน และหญิง 2 คน เป็นผู้ที่มีความสนใจทางด้านการร้องเพลงพื้นบ้านมาตั้งแต่ปี๒๕๐๕ ขณะที่อายุประมาณ ๑๕ ปี โดยมีความชื่นชม และเฝ้าติดตามการขับร้องเพลงของแม่บัวผัน จันทร์ศรี (ศิลปินแห่งชาติ) และครูไสว วงษ์งาม อย่างใกล้ชิดและในที่สุดก็ได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อฝึกฝนการขับร้องเพลงกับครูเพลงทั้ง 2 ท่าน ด้วยความเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในทางการขับร้อง กอปรด้วยความมีไหวพริบปฏิภาณ และน้ำเสียงอันเป็นเลิศ อีกทั้งมีความมานะพยายามไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ทำให้แม่ขวัญจิตสามารถเรียนรู้วิธีการขับร้องเพลงพื้นบ้านประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงอีแซว จากแม่บัวผัน และเพลงแนวผู้ชายจากครูไสวได้เป็นอย่างดีภายในระยะเวลาไม่นาน แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ไม่เพียงมีความสามารถในด้านการขับร้องเพลงพื้นบ้านเท่านั้น ท่านยังมีความสามารถในการแต่งเพลงอีแซวได้อย่างเป็นเลิศอีกด้วย เนื่องจากท่านมีความรักในด้านการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วรรณคดีไทยเป็นพิเศษ จึงสามารถจดจำลีลาการประพันธ์และเค้าโครงเรื่องเหล่านั้นมาประพันธ์เป็นเพลงอีแซวได้อย่างไพเราะงดงาม แม่ขวัญจิตได้ออกตระเวนเล่นเพลงอีแซวเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และหาความรู้กับครูเพลงพื้นบ้านอีกหลายท่าน ทำให้ความสามารถของท่านพัฒนาขึ้นโดยลำดับจนเริ่มมีชื่อเสียง จากนั้นในช่วงประมาณปี 2510 ก็ได้หันไปสนใจการขับร้องเพลงลูกทุ่ง โดยได้เข้าเป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งในวงดนตรีของครูจำรัส สุวคนธ์ และวงดนตรีของ ครูไวพจน์ เพชรสุพรรณ ตามลำดับ จนมีชื่อเสียงโด่งดัง เพลงลูกทุ่งที่ร้องอัดแผ่นเสียงเป็นเพลงแรกคือ เพลงเบื่อสมบัติ ตามด้วยเพลงดังอื่นๆ เช่น ลาน้องไปเวียดนาม ขวัญใจคนจน แม่ครัวตัวอย่าง ฯลฯ จากนั้นก็ได้แต่งเพลงเองอันได้แก่เพลง กับข้าวเพชฌฆาต น้ำตาดอกคำใต้ สาวสุพรรณ เป็นต้น เมื่อประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง อย่างกว้างขวางแล้ว ก็ได้จัดตั้งวงดนตรีลูกทุ่งของตนเองขึ้น โดยใช้ชื่อว่าวงขวัญจิต ศรีประจันต์ ซึ่งท่านได้นำเอาระบบแสง สี เสียง อันทันสมัยน่าตื่นตาตื่นใจมาใช้ในการแสดง อีกทั้งได้ประยุกต์เพลงอีแซว มาผสมผสานเข้ากับเพลงลูกทุ่งได้อย่างกลมกลืมทำให้ได้รับความนิยมชมชอบจากผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งจนกระทั่งถึงปี ๒๕๑๖ จึงได้ยุบวงแล้วหันกลับไปฟื้นฟูเพลงอีกแซวอีกครั้ง โดยในการกลับมา
ครั้งนั้น ท่านได้ตั้งใจ อย่างแน่วแน่ที่จะอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเผยแพร่ศิลปะพื้นบ้านแขนงนี้อย่างจริงจัง โดยนอกจาก การแสดงแล้ว ท่านยังอุทิศตนในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยได้ไปบรรยายและสาธิตการแสดงเพลงพื้นบ้านในสถานศึกษาต่างๆ ตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงมหาวิทยาลัย และยังคงปฏิบัติเช่นนี้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากจะเป็นศิลปินเพลงพื้นบ้านและเพลงลูกทุ่งที่มีความสามารถสูงยิ่งแล้ว แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ยังเป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมด้วยคุณธรรมอย่างน่าสรรเสริญ ตลอดชีวิตของการเป็นนักร้องเพลงพื้นบ้านและเพลงลูกทุ่ง ท่านได้อุทิศตนช่วยเหลืองานบุญงานกุศลต่างๆ มิเคยว่างเว้นทั้งงานราษฎร์ และงานหลวง อาทิ การช่วยรณรงค์เพื่อปราบปรามยาเสพย์ติด การรณรงค์ในเรื่องปัญหาโรคเอดส์ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติต่างๆ และการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรด้านเพลงพื้นบ้านที่วิทยาลัยนาฎศิลปสุพรรณบุรี และสถานศึกษาต่างๆ ในจังหวัดสุพรรณบุรี และถ่ายทอดความรู้ให้ผู้ที่สนใจได้สืบสานเพลงพื้นบ้านไว้เป็นจำนวนมากนับเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ที่มีทั้งความสามารถในด้านเพลงพื้นบ้านอย่างลึกซึ้ง และเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมผู้ได้บำเพ็ญประโยชน์เป็นอเนกประการต่อสังคม นับเป็นศิลปินที่ชาวสุพรรณบุรีภาคภูมิใจที่สุดท่านหนึ่ง
เกียรติยศ
พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับการประกาศเกียรติคุณให้เป็น ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาศิลปะ(เพลงพื้นบ้าน) จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้รับคัดเลือกเป็นสื่อพื้นบ้านดีเด่นของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคกลางและสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด
พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้รับการประกาศเกียรติคุณเป็น นักร้องดีเด่นกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ครั้งที่ ๒ จากเพลงกับข้าวเพชฌฆาต รับพระราชทานจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดงานโดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๖ ได้รับโล่เกียรติคุณ ฐานะนักร้องลูกทุ่งดีเด่นของ จ.สุพรรณบุรี พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับการประกาศเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน- อีแซว)
ผลงานภาพยนตร์
เพลงสวรรค์นางไพร (2514) , จำปาทอง (2514) , น้องนางบ้านนา , จำปาสี่ต้น , กลัวเมีย , บุหงาหน้าฝน (2515) ,อยากดัง
มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม. นอกจากนั้นยังเคยร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เป็นเพลงเด่นๆหลายเพลง อาทิ
“คิดถึงคนอยากดัง” , “รักชั่งกิโล” , “ผัวหาย” ฯลฯ
ผลงานการขับร้องเพลง
ผลงานการขับร้องเพลงด้านต่างๆ ของแม่ขวัญจิต ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนอกจาก ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีอีกมากมาย แบ่งออกเป็นเพลงหลายประเภทดังนี้
ประเภทเพลงลูกทุ่ง ได้แก่ เพลงเศรษฐีสุพรรณ ก็นั่นนะซิ วุ้ยว้าย นางครวญ อ้อมอกเจ้าพระยา อายบาปอายบุญ ปิดทองพระ แห่ผ้าป่า แฟนหนังเร่ เสียงครวญจากชาวประชา ชวนน้องกลับอีสาน กับข้าวเพชฌฆาต ฯลฯ
ประเภทเพลงพื้นบ้าน ได้แก่ เพลงชุดปัญหาหัวใจ อานิสงส์ทอดกฐิน ประเพณีไทย น้ำตาหมอนวด ประวัติเมืองสุพรรณ อีแซวประยุกต์ พระมาลัยโปรดนรก พระคุณพ่อแม่ อานิสงส์บรรพชา ประเพณีแต่งงาน เต้นกำรำเคียวเกี่ยวมดตะนอย ฯลฯ
ประเภทเพลงแหล่ ได้แก่ แหล่มัทรีเดินดง แหล่ประวัตินาค แหล่กัญหาชาลี แหล่ทำขวัญนาค แหล่ถาม-ตอบพิธีแต่งขันหมาก แหล่ถาม-ตอบเรื่องการแต่งาน ฯลฯ

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

วันแม่ เกิดขึ้นได้อย่างไร




ว่ากันว่าวันแม่นั้นถูกกำหนดขึ้นโดยชาวอเมริกัน โดยผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ก็คือ

แอนนา เอ็ม จาร์วิส คุณครูของโรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐฟิดาเดลเฟีย เธอได้ใช้เวลาเรียกร้องถึง 2 ปี จน

ประสบความสำเร็จในปี ค.ศ. 1914 ( พ.ศ. 2457 ) ในสมัยประธาณาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้

ถือวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคมเป็ฯวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่แห่งชาติของชาว

อเมริกันก็คือ ดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือ

ประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว

Mes repas.




Je me lève à 7:30. Mon petit déjeuner aujourd'hui est un oeuf sur le plat, jambon cuit 2 pièces, 2 pièces de saucisse et 2 verres de lait.Ce repas, c'est bon ! Parce que ma mère a fait. Après un déjeuner, j'ai mangé du riz avec mélanger le porc frite avec du basilic et de squash soupe. Et le dîner, je mange des boulettes de viande cuites à la vapeur et boire du thé vert. Voici les repas que je mange.

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กลอนวันแม่



ใครกันหรือคือผู้ดูแลเจ้า                       ใครกันเฝ้าคอยปกปักและรักษา

ใครกันคือผู้ให้เจ้าเกิดมา                       ใครกันหนาอุ้มท้องมาตั้งเดือน

ถามว่าใครตอบได้ไหมใช่ คือแม่          รักแน่แท้หาใดใครเสมือน

ท่านผู้เป็นอรหันต์ที่มาเยือน                  คุณสูงค่ามิลืมเลือนเตือนจิตใจ

เมื่อลูกเกิดแม่ก็เกิดมาพร้อมลูก              จึงพันผูกด้วยรักมิสงสัย

เฝ้าสอนสั่งอบรมด้วยห่วงใย                 เป็นผู้ให้กับลูกเสมอมา

เพียงหนึ่งหยดน้ำนมที่อกกลั่น               พระคุณนั้นก็มากล้นเป็นหนักหนา

จึงขอเปรียบแม่ดั่งพระพรหมา               ให้เมตตาลูกยาตลอดไป

พระคุณแม่เปรียบดั่งมหาสมุทร              ลึกที่สุดกว้างยิ่งกว่าผืนน้ำไหน

ทั้งเย็นฉ่ำเพราะให้รักด้วยดวงใจ            คุณยิ่งใหญ่ลูดนั้นไซร้ใคร่แทนคุณ

ความเป็นมา "ธงชาติของประเทศฝรั่งเศส"


Drapeau de la france





ธงชาติฝรั่งเศสถือว่าเป็นธงต้นแบบที่หลายๆ ประเทศนำมาดัดแปลงเป็นธงชาติของตนเอง รวมทั้งธงชาติไทยด้วย ลักษณะของธงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน ประกอบด้วยริ้วธง 3 สี คือ สีน้ำเงิน สีขาว และสีแดง เรียงกันตามแนวตั้ง แต่ละริ้วมีความกว้างเท่ากัน สำหรับธงค้าขายและธงรัฐนาวีฝรั่งเศสนั้นคล้ายกับธงชาติ แต่สัดส่วนความกว้างของริ้วธงแต่ละสีจะเป็น 30 : 33 : 37

ธงนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติฝรั่งเศส ตามมาตราที่ 2 แห่งรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐฝรั่งเศส พ.ศ. 2501 ส่วนสีธงชาติแบบมาตรฐานนั้น กำหนดขึ้นในสมัยที่นายวาเลรี ยิสการ์ด เดส์แตง เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศส แต่เดิมธงนี้มีที่มาจากธงสีแดงและสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีธงประจำกรุงปารีส และธง
สีขาว ซึ่งใช้เป็นธงประจำราชวงศ์ฝรั่งเศส และใช้เป็นธงราชนาวีในยุคกลาง มีความหมายถึงความบริสุทธิ์ สถาบันกษัตริย์ฝรั่งเศส และยังหมายถึงประเทศฝรั่งเศสด้วย เมื่อเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ในปี
พ.ศ. 2332 ธงสามสี แดง ขาว และน้ำเงิน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติที่นิยมแพร่หลายโดยทั่วไป แต่รัฐบาลปฏิวัติฝรั่งเศส ได้รับรองธงนี้ให้ใช้เป็นธงชาติจริง เมื่อปี พ.ศ. 2337 ปัจจุบัน ธงชาติฝรั่งเศส จึงมีความหมายของธงคือ " เสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ "

คำขวัญ


La devise de Bangkok

(คำขวัญกรุงเทพมหานคร)


             " กรุงเทพฯ ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งานเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย "

                



La devise de Hua Hin

(คำขวัญหัวหิน)


              " ท่องเที่ยวหัวหิน แวะถิ่นมนต์ขลัง ทะเลสวย นักมวยดัง พระราชวังงดงาม "








La devise de Prachuapkhirikhan

(คำขวัญประจวบคีรีขันธ์)



              " เมืองทองเนื้อเกล้า มะพร้าวสับปะรด สวยสดหาดเขาถ้ำ
งามล้ำน้ำใจ "





               

ความเป็นมาวันแม่ของฝรั่งเศส

วันแม่ในต่างแดน
ประเทศอื่น ๆ ก็มีการกำหนดวันแม่ไว้เช่นเดียวกัน ตัวอย่าง เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ใช้วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม ประเทศรัสเซียใช้วันที่ 28 พฤศจิกายน เป็นต้น

อาทิตย์ที่ 2 ของเดือนกุมภาพันธ์ นอร์เวย์
8 มีนาคม บัลแกเรีย , แอลเบเนีย
อาทิตย์ที่ 4 ในฤดูถือบวชเล็นท์ ( มาเทอริง ซันเดย์) สหราชอาณาจักร , ไอร์แลนด์
21 มีนาคม (วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ) จอร์แดน , ซีเรีย , เลบานอน , อียิปต์
อาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคม โปรตุเกส , ลิทัวเนีย , สเปน , แอฟริกาใต้ , ฮังการี
8 พฤษภาคม เกาหลีใต้ (วันผู้ปกครอง)
10 พฤษภาคม กาตาร์ , ซาอุดีอาระเบีย , ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้ , บาห์เรน , ปากีสถาน , มาเลเซีย , เม็กซิโก , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ , อินเดีย , โอมาน
อาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม แคนาดา , สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) , สาธารณรัฐประชาชนจีน , ญี่ปุ่น , เดนมาร์ก , ตุรกี , นิวซีแลนด์ , เนเธอร์แลนด์ , บราซิล , เบลเยียม , เปรู , ฟินแลนด์ , มอลตา , เยอรมนี , ลัตเวีย , สโลวาเกีย , สิงคโปร์ , สหรัฐอเมริกา , ออสเตรเลีย , ออสเตรีย , อิตาลี , เอสโตเนีย , ฮ่องกง
26 พฤษภาคม โปแลนด์
27 พฤษภาคม โบลิเวีย
อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม สาธารณรัฐโดมินิกัน , สวีเดน
อาทิตย์แรกของเดือน มิถุนายน หรือ อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ฝรั่งเศส
12 สิงหาคม ไทย (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ )
15 สิงหาคม (วันอัสสัมชัญ) คอสตาริกา , แอนท์เวิร์ป (เบลเยี่ยม)
อาทิตย์ที่ 2 หรือ 3 ของเดือนตุลาคม อาร์เจนตินา ( Dia de la Madre)
28 พฤศจิกายน รัสเซีย
8 ธันวาคม ปานามา
22 ธันวาคม อินโดนีเซีย

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันสำคํญของฝรั่งเศส

แม้ว่าฝรั่งเศสจะเป็นรัฐฆราวาส แต่วันสำคัญต่าง ๆ กลับเกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นส่วนใหญ่ อาจด้วยเหตุบังเอิญว่าวันต่าง ๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่ตรงกับวันอาทิตย์ซึ่งถือว่าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาคริสต์
วันขึ้นปีใหม่ (Jour de l’an) 1 มกราคม วันนักขัตฤกษ์ ตรงกับวันแรก
ของปีตามตารางปฎิทินสากล ในประเทศฝรั่งเศส

วันขึ้นปีใหม่
10 มกราคมนี้เริ่มกำหนดใช้ในปี ค.ศ. 1564 และ วันที่ 31 ธันวาคมถือว่าเป็นการฉลองคืนส่งท้าย
ปีเก่าเพื่อต้อนรับขึ้นวันปีใหม่ด้วย ในวันขึ้นปีใหม่นี้ ถือเป็นโอกาสที่จะให้ของขวัญ (เงิน) กับเด็ก ๆ

เอพิพานี (Epiphanie) เทศกาลของชาวคริสเตียน ในโบสถ์ละติน เป็นการฉลองการมาเยี่ยม
พระเยซูของ Rois mages โดยธรรมเนียม มีการทานขนมหวาน เค้ก (รูปทรงมงกุฎในทางตอนใต้)
หรือ กาแลตดูครัว (ทางเหนือของฝรั่งเศส) จัดขึ้นในวันอาทิตย์แรกของเดือนมกราคม

ชองเดอเลอ (Chandeleur) 2 กุมภาพันธุ์ วันทางศาสนาของชาวคริสเตียน แรกเริ่มมาจาก
เทศกาลแสงไฟ ในปี ค.ศ. 472 เทศกาลนี้ได้กลายเป็นการเฉลิมฉลองการเป็นตัวแทนของ
พระเยซูภายในโบสถ์ตามธรรมเนียมมีการทำขนมเครป แล้วโยนขึ้นกลับด้านโดยกำเงินไว้ในมือ
อีกข้างเพื่อถือเป็นการนำโชคดีมาสู่ตัวผู้โยน

มาร์ดี-กรา (Mardi-gras) เทศกาลของชาวคาทอลิก เมื่อวันสิ้นสุด 7 วันหลังเทศกาลงานรื่นเริง (ซึ่งผ่านมื้ออาหารกันมาตลอดสัปดาห์) วันนี้กำหนดขึ้น 47 วันก่อนเทศกาลอีสเตอร์ และเป็นการ
เริ่มต้นของกาเรม (เทศกาลถือศีลอด) สัญลักษณ์ของเทศกาลนี้คืองานกานาวาล (ซึ่งมีความหมายถึงการเอาเนิ้อออก หรือการเริ่มต้นการถือศีล) ตามธรรมเนียมต้องการให้ชาวบ้านแต่งตัวหลากหลายในวันนั้น (ในทุกวันนี้กลายเป็นเด็ก ๆ ) ในบางหมู่บ้านมีการเผาตุ๊กตากานาวาลในวันงานด้วย

Mercredi des Cendres เทศกาลของชาวคาทอลิก เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นเทศกาลถือศีลอด เป็นสัญลักษณ์ให้เตือนถึงการตาย

อาทิตย์แรกของเทศกาลศีลอด (1er dimanche de Carême) ไม่มีกิจกรรมใด ๆ พิเศษ

พฤหัสบดีกลางเทศกาลศีลอด (Jeudi de la Mi-cerême) เป็นสัญลักษณ์ครึ่งนึงของช่วง
เทศกาลถือศีลอดที่มี 40 วัน(โดยไม่นับวันอาทิตย์) ตรงกับวันพฤหัสบดีของอาทิตย์ที่ 3 ของตลอดระยะเวลาเทศกาลถือศีล เป็นการพักของช่วงการถือศีล ในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยฉลองกันนัก

Dimanche des Rameaux รำลึกการเดินทางถึงนครเยรูซาเลมของพระเยซู และความรักของ
พระเยซุคริสต์และการเสียชีวิตบนไม้กางเขน

วันอาทิตย์อีสเตอร์ (Dimanche de Pâques) 
3 วันหลังจากวันสิ้นชีพของพระเยซุ พระเยซูได้
ฟิ้นคืนชีพ เทศกาลอีสเตอร์เป็นวันสำคัญที่สุดของปฎิทินชาวคริสต์ เป็นสัญลักษณ์ของวันสิ้นสุด
ของเทศกาลถือศีลอด วันอีสเตอร์สอดคล้องกับวันอาทิตย์แรกต่อจากวันพระจันทร์เต็มดวง
ในฤดูใบไม้ผลิ ชาวคริสต์ต้องหยุดงานเพือ่ไปสวดมิซซา ในวันนี้พระสันตปะปาจะประทานพรในฝรั่งเศสตามธรรมเนียมทำการมอบไข่ (ชอกโกแลต) หรือของประดับธรรมเนียมอิ่น ๆเกี่ยวกับอาหาร
: ทานแกะ

วันจันทร์อีสเตอร์ (Lundi de Pâque)
ในยุคกลางตลอดสัปดาห์หลังเทศการอีสเตอร์เป็นสัปดาห์นักขัตฤกษ์ ในปัจจุบันเหลือลงเพียงวันจันทร์ และไม่ใช่งานฉลองที่เคยทำอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีของฝรั่งเศสไม่มีการฉลองเป็นพิเศษ

วันนำสาร (Annonciation) 25 มีนาคม ตามศาสนาคริสต์ เทวดากาเบรียล นำสารมาบอก
มารีถึงการตั้งครรภ์พระเยซู 9 เดือนก่อนวันคริสต์มาสถือได้ว่าเป็นวันจุติของพระเยซู

วันรำลึกการถูกคุมตัว(Souvenir déportés)
เป็นวันระลึกถึง 150000 ฝรั่งเศสที่ถูกนำตัวไป
เข้าค่ายกักกันของนาซี ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 วันรำลึกนี้จัดอยู่ในอาทิตย์สุดท้ายของเดือนเมษายนวันรำลึกนี้จัดอยู่ในอาทิตย์สุดท้ายของเดือนเมษายน

วันแรงงาน ( Fête du travail) 1 พฤาภาคม เป็นธรรมเนียมของผู้ใช้แรงงานในการต่อสู้ที่มีอยู่ทั่วโลก ในประเทศส่วนใหญ่จัดเป็นวันหยุดประจำปี ประเทศฝรั่งเศสเริ่มต้นในปี 1919 และในปี 1947 เป็นวันหยุดเต็มวันโดยได้รับค่าแรงด้วย ในวันนี้สหภาพแรงงานต่าง ๆ จะเดินขบวนกันตามเมือง
ต่าง ๆ ของประเทศ และมีการมอบช่อดอกมูเก้ด้วย

วันกลับคืนสู่สวรรค์ (Jeudi de l’Ascension) 
เป็นการฉลอง 39 วันหลังจากเทศกาลอีสเตอร์
หลังจากลงมาเผยแพร่คำสอน พระเยซุก็ได้เสด็จกลับขึ้นสวรรค์์

วันฉลองชัยชนะ (Victoire 1945) ชัยชนะทีมีต่อเยอรมันในยุคการครอบครองโดยทหารนาซี
สันติภาพได้กลับคืนสู่ทวีปยุโรป โดยสัญญาสงบศึกที่ทำขึ้นในวันที 8 พฤษภาคม 1945 เวลา
ประมาณเที่ยงคืน โดยมีนายพลโซเวียต Jpukov ฝ่ายนาซี Keitel ผู้แทนจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และนายพล de Lattre ของฝรั่งเศส เป็นวันนักขัตฤกษ์ตั้งแต่ปี 1953 แต่ได้ถูกยกเลิกไปในสมัย V.Giscard d’Estaing และได้กลับมากำหนดใหม่ในยุคของ F.Mitterrand 1 มิถุนายน 1981

วันอาทิตย์ปงโตโค๊ต (Dimanche de Pentecôte) เป็นวันเทศกาลของชาวคริสต์ กำหนดขึ้น
7 อาทิตย์หลังเทศกาลอีสเตอร์ เพื่อรำลึกถึงวิญญาณศักด์สิทธิ์ที่ลงมาจาก...

ทรินิเต้ (Trinité) วันเทศกาลของชาวคริสต์ อาทิตย์ที่ 8 หลังจากเทศกาลอีสเตอร์ ปัจจุบันไม่ค่อยมีการเฉลิมฉลองมากนัก ในศาสนาคริสต์ ทรินิเต้เป็นการกล่าวถึงพระเจ้าใน 3 บุคคล พระบิดา บุตร และพระจิต

วันพระเจ้า (Fête Dieu) ฉลองในวันพฤหัสบดีถัดจากวันทรินิเต้ (หรืออาจวันอาทิตย์ขึ้นอยู่กับ
ทางปฎิบัติ) ฉลองถึงความเสียสละของพระคริสต์ โดยมีการแบ่งขนมปัง

วันแม่ (Fête des mères)กำหนดเป็นทางการในปี 1928 กำหนดไว้ในวันอาทิตย์สุดท้ายของ
เดือนพฤษภาคม (หรือกรณีพิเศษเลื่อ่นไปในเดือนมิถุนายนหากชนกับปงโดโค๊ต) ในปัจจุบัน
กลายเป็นการค้าและเป็นวันที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ

วันพ่อ (Fête des pères) เช่นเดียวกับวันแม่ แต่มีกำหนดขึ้นเป็นทางการในปี 1952

วันชาติ (Fête Nationale) รำลึกถึงวันแห่งการปฎิวัติของฝรั่งเศส 1789 โดยเฉพาะการทำลาย
คุกบาสตีล ในวันที่ 14 กรกฎาคม 1978 คุกบาสตีลเป็นคุกสำคัญของปารีส และเป็นสัญลักษณ์
ของอำนาจกษัตริย์ ในวันที่ 14 กรกฎาคม 1789 ชาวกรุงปารีสได้ทำการเผาและเข้ายึดคุก
การเข้ายึดคุกบาสตีลนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการก่อตั้งสาธารณรัฐฝรั่งเศส

วันอัสสัมซิยง (Assomption) 15 สิงหาคม วันทางศาสนาของชาวคาทอลิกที่ทำการฉลองใน
การที่พระแม่มารีขึ้นสู่สรวงสวรรค์ เป็นวันสำคัญกลางฤดูร้อนมีการ........

Croix glorieuse 14 กันยายน กำหนดโดยจักรพรรคดิ์กองสตองแตง ในปี ค.ศ. 335 ในปัจจุบันมีการฉลองในวันนี้ไม่มากนัก

ตุสแซง (Toussaint) 1 พฤศจิกายน วันทางศาสนาของชาวคาทอลิก ในการเฉลิมฉลองให้กับทุกนักบุญโดยโบสถ์โรมัน ในวันนี้ได้กลายเป็นวันเยี่ยมหลุมฝังศพ เพือ่วางดอกไม้กับผู้เสียชีวิตไปแล้ว และดอกคริสซองแตม

เดฟัน (Défunts) 2 พฤศจิกายน ในฝรั่งเศสรวมกันกับวันหยุดตุสแซง

วันสิ้นสุดสงคราวโลกครั้งที่ 1 (Armistice 1918) 11 พฤศจิกายน 1918 รำลึกถึงการสิ้นสุด
สงครามโลกครั้งที่ 1 โดยมีการเซ็นสัญญายุติสงครามมที่ Rethondes ป่า Compiège (Oise)

Christ Roi วันทางศาสนาของชาวคาทอลิกอาทิตย์สุดท้ายของปี 5 อาทิตย์ก่อนคริสต์มาส Avent ช่วงเวลาหลังจากคริสต์มาส ระหว่าง 3-4 สัปดาห์

คริสต์มาส (Noël) เป็นเทศกาลการเกิดของพระเยซูคริสต์ มีการกำหนดขึ้นในปี ค.ศ. 354
โดยสันตปะปา Libère มีการประดับตกแต่งในวันที่ 24 ธันวาคมตอนเย็น ด้วยต้นสน คอกเด็ก
ของขวัญ และทานอาหรระหว่างครอบครัว เทศกาลนี้ยังกลายเป็นสัญสักษณ์การทำค้าขาย
อย่างมหาศาล

วันครอบครัว (Saint famille) ต่อจากคริสต์มาส (อาทิตย์หรือศุกร์ถัดไปหากวันคริสต์มาส
ตรงกับวันอาทิตย์)เป็นการสร้างครอบครัวโดยเยซูและมีบุพการีคือ มารีและโยเซพ

ศัพท์ฝรั่งเศสที่ควรรู้

->> La famille ครอบครัว <<-
La mere แม่
Le pere พ่อ
La grand-mere ย่า ยาย
Le grand-pere ปู่ ตา
la soeur พี่สาว น้องสา่ว
la frere พี่ชาย น้องชาย
L'oncle ลุง อา น้า
La tante ป้า อา น้า
Le cousin ลูกทีี่ลูกน้อง ผุ้ชาย
Le cousine ลูกทีี่ลูกน้อง ผุ้หญิืง

->> Les Professions อาชีพ <<-
un professeur ครู
un footballeur นักฟุตบอลีื
une htesse de l'air แอร์โฮสเตส
un chirurgien หมอผ่าตัด
une coiffeuse ช่างตัดผม
un jardinier คนทำสวน
une danseuse นักเต้นรำ
un facteur บุรุษไปรษณีย์
un peintre จิตกร
un chauffeur คนขับรถ
un dentist หมอฟัน
ีune musicienne นักดนตรี
un pilote นักบิน
un cuisinier พ่อครัว
un eleve นักเรียน
une infirmiere พยาบาล

->> LES SAISONS <<-
L'ete ฤดูร้อน
L'automne ฤดูใบไม้ร่วง
L'hiver ฤดูหนาว
L'printemps ฤดูใบไม้ผลิ


->> Savez-vous faire la tete? การแสดงความรู้สึุกทางสีหน้า <<-
gentil ใจดี
amoureux ตกหลุมรัก
poli สุำภาพ
agressif ก้าวร้าว
triste เศร้าหมอง
surprise ประหลาดใจ
joyeux ร่าเริง
fou de rage บ้าคลั่ง
Malade ไม่สบาย
soucieux วิตกกังวล
fatigue เหนื่อย
en colere โกรธ

->> La correspondence การติดต่อสื่อสาร <<-
La carte โปสการ์ด
La lettte จดหมาย
L'enveloppe ซองจดหมาย
Le timbre แสตมป์
L'adresse ที่อยู่
Un paquet กล่องพัสดุ
La boite aux lettres ตู้รับจดหมาย
La poste ไปรษณีย์

->> La place สถานที่ สี่แยก <<-
Les feus สัญญาณไฟจราจร
La statue อนุสาวรีย์
Le passage pieton ทางข้ามม้าลาย
Le trottoir ทางเดินเท้า บาทวิถี
L'arret d'antobus ป้ายรถโดยสารประจำทาง
Le carrefour สี่แยก
L'agent de police ตำรวจจราจร
L]autobus รถโดยสารประจำทาง
Le pieton คนเดินเท้า คนเดินถนน

Le Tour de France 2011 การแข่งจักรยาน


การแข่งจักรยานทางไกล Le Tour de France 2011
ครั้งที่ 98 ได้เริ่มขึ้นแล้ว ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม- วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2554 นี้





Le tour de France (ฝรั่งเศส: Tour de France หมายถึง การท่องฝรั่งเศส) หรือบางครั้งเรียกว่า ลากรองด์บูกล์ (La Grande Boucle) และ เลอตูร์ (Le Tour) เป็นการแข่งขันจักรยานทางไกลรอบประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี เริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1903 จนถึงปัจจุบัน (เว้นการจัดแข่งขันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง)
Le tour de Franceเป็นการแข่งขันจักรยานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เป็นการแข่งขันจักรยานทางไกลหนึ่งในสามรายการใหญ่ ที่จัดการแข่งขันในยุโรป รวมเรียกว่า แกรนด์ทัวร์ โดยอีกสองรายการคือโดยอีกสองรายการคือ
★ จีโรดีตาเลีย (Giro d’Italia) จัดในอิตาลี ช่วงเดือนพฤษภาคม-ต้นมิถุนายน
★ วูเอลตาอาเอสปันญา (Vuelta a España) จัดในสเปน ช่วงเดือนกันยายน
การแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1903 เกิดขึ้นเนื่องจากการท้าทายกันทางหน้าหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสชื่อ โลโต้ (L’Auto) มีนักแข่งเข้าร่วมจำนวนถึง 60 คน แต่สามารถเข้าเส้นชัยได้เพียง 21 คน ซึ่งกิตติศัพท์ของความยากลำบากในการแข่งขัน ทำให้การแข่งขันนี้เป็นที่สนใจ และมีผู้ชมการแข่งขันช่วงสุดท้ายในกรุงปารีส ตามสองฟากถนนระหว่างทางราว 100,000 คน และกลายเป็นประเพณี ที่การแข่งขันทุกครั้งจะไปสิ้นสุดที่ประตูชัย จตุรัสเดอเลตวล ปารีส
ในปี ค.ศ. 1910 เริ่มมีการจัดเส้นทางแข่งขันเข้าไปในเขตเทือกเขาแอลป์ ปัจจุบันเส้นทางการแข่งขันจะผ่านทั้งเทือกเขาแอลป์ ทางตะวันออก และเทือกเขาพีเรนีสทางใต้ของฝรั่งเศสการแข่งขันตูร์เดอฟรองซ์จะแบ่งเป็นช่วง (stage) เพื่อเก็บคะแนนสะสม ผู้ชนะในแต่ละช่วงจะได้รับเสื้อ (jersey) เพื่อสวมใส่ในวันต่อไป โดยมีสีเฉพาะสำหรับผู้ชนะในแต่ละประเภท คือ
★ สีเหลือง (maillot jaune – yellow jersey) สำหรับผู้มีคะแนนรวมสูงสุด
★ สีเขียว (maillot vert – green jersey) สำหรับผู้ชนะในแต่ละสเตจ
★ สีขาวลายจุดสีแดง (maillot à pois rouges – polka dot jersey) สำหรับผู้ชนะในเขตภูเขา ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า จ้าวภูเขา King of the Mountains สีขาว (maillot blanc – white jersey) สำหรับผู้มีคะแนนรวมสูงสุด ที่อายุต่ำกว่า 25 ปี
★ สีรุ้ง (maillot arc-en-ciel – rainbow jersey) สำหรับผู้ชนะการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์โลก (World Cycling Championship) ซึ่งมีกฏว่าจะต้องใส่เสื้อนี้เมื่อแข่งขันในประเภทเดียวกับที่ผู้แข่งนั้นเป็นแชมป์โลกอยู่
★ เสื้อแบบพิเศษ สำหรับผู้มีคะแนนรวมสูงสุด และชนะการแข่งขันช่วงย่อย และจ้าวภูเขา


Du samedi 2 au dimanche 24 juillet 2011, le 98e Tour de France comprendra 21 étapes pour une distance de 3 430,5 kilomètres




วันชาติของฝรั่งเศส (La Fête Nationale)

วันชาติฝรั่งเศสตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันแห่งการปฎิวัติการปกครองจากระบบเจ้าขุนมูลนายไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยประชาชนทั่วทั้งประเทศได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองแบบยุกโบราณจนกระทั้งได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรกจากบุกเข้าทลายคุกบาสติลที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ประชาชน เมื่อ 209 ปีก่อนและนำไปสู่การล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สำเร็จ โดยสมัชชาแห่งชาติได้กำหนดโครงสร้างกฏหมายฉบับใหม่ที่ยกเลิกการให้ความมีเอกสิทธิ์ ขจัดเรื่องสินบนและล้มเลิกระบบฟิวดัล(ระบบศักดินา) จากนั้นต่อมาจึงมีการจัดงานฉลองแห่งชาติขึ้นเรียกว่า “The Feast of the Federation” เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีของเหตุการณ์จลาจลที่กองกำลังแห่งชาติจากทั่วประเทศได้เดินทางรวมพลกันที่ “Champs-de-Mars” ในกรุงปารีส

แต่พอหลังจากนั้นการจัดงานฉลองเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ของวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2332 ก็ต้องหยุดไปเนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศยังคงไม่สงบเกิดสงครามปฏิวัติขึ้นหลายครั้งในช่วงระยะเวลาปี พ.ศ.2335-2345 และมาในสมัย “the Third Republic*”นี้เอง รัฐบาลจึงได้มีความคิดที่จะรื้อฟื้นการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติฝรั่งเศสขึ้นมาใหม่ โดยมีการผ่านร่างกฎหมายฉบับเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2423 ขึ้นมา ซึ่งกำหนดให้วันที่ 14 กรกฎาคม ของทุกปีเป็น “วันชาติฝรั่งเศส”และได้จัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรกขึ้นในปีเดียวกันนั้น

ทั้งนี้งานจะเริ่มตั้งแต่ค่ำของวันที่ 13 โดยจะมีการแห่คบเพลิงและล่วงเข้าวันรุ่งขึ้นเมื่อระฆังตามโบสถ์วิหารต่าง ๆ หรือเสียงปืนดังขึ้นนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่างานฉลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ เริ่มจากริ้วขบวนการสวนสนามของเหล่าทัพ จากนั้นเมื่อถึงช่วงเวลากลางวันประชาชนจะร่วมฉลองด้วยการเต้นรำอย่างรื่นเริงสนุกสนานไปตามท้องถนนและมีการจัดเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริกจนถึงเวลาค่ำ ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการจุดพลและการละเล่นดอกไม้ไฟที่ถือประเพณีปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีสิ่งสร้างความบันเทิงอื่น ๆ อีกมากมายที่จัดขึ้นทั่วประเทศทั้งการจัดการแข่งขันกีฬา การจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้า โดยไม่มีชาวฝรั่งเศสคนใดจะละเลยไม่นึกถึงและร่วมฉลองในวันสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศครั้งนี้

เพลงชาติฝรั่งเศส





เพลงชาติฝรั่งเศส

La Marseillaise

Allons, enfants de la Patrie,

Le jour de gloire est arrive,

Contre nous de la tyrannie

L’etendard sanglant est leve,

L’etendard sanglant est leve.

Entendez-vous, dans le campagnes,

Mugir ces feroces soldats?

Ils viennent jusque dans nos bras,

Egorger nos fils, nos compagnes.

Aux armes, citoyens!

Formez vos bataillons!

Marchons! Marchons!

Qu’un sang impur

abreuve nos sillons




ฤดูกาลในฝรั่งเศส




ฝรั่งเศสเป็นประเทศหนาว ในปีหนึ่งแบ่งออกเป็น 4 ฤดู แต่ละฤดูจะกินเวลา 3 เดือน วันเดือนที่กำหนดว่าเป็นวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของแต่ละฤดูนั้น จริง ๆ แล้วไม่ได้หมายความว่าอากาศจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นจริง ๆ วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิบางปีในบางท้องถิ่นอากาศจะหนาวมากกว่าฤดูหนาวในบางถิ่น ฤดูทั้ง 4 ของฝรั่งเศสมีดังนี้คือ
1. ฤดูใบไม้ผลิ ( le printemps )
ฤดูใบไม้ผลิเริ่มวันที่ 21 มีนาคม สิ้นสุดวันที่ 21 มิถุนายน ในฤดูนี้อากาศจะอบอุ่นขึ้น ต้นไม้ที่โกร๋นปราศจากใบมาตลอดเวลา 3 เดือน ในฤดูหนาวที่หนาวเย็นจะเริ่มผลิใบ การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วมาก ในเวลาไม่กี่วันหลังอากาศอบอุ่นต้นไม้จะผลิใบเขียวชอุ่ม ปลายเดือนมีนาคมและเดือนเมษายนอากาศจะไม่แน่นอน ในช่วงนี้จึงยังคงเก็บเสื้อโค้ตไม่ได้เพราะอากาศจะหนาวเมื่อไรก็ได้ บางทีอาจจะมีฝนตกบ้าง อากาศจะดีจริง ๆ ในเดือนพฤษภาคม ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่สวยงาม ฟ้าจะเป็นสีฟ้าใส พระอาทิตย์ซึ่งไม่เคยปรากฏในฤดูหนาวเริ่มส่องแสง ฤดูนี้ได้ชื่อว่าเป็นฤดูแห่งดอกไม้แห่งงานฉลองแห่งความรัก ( la saison des fleurs, des fêtes, des amours ) มีงานฉลองมากมาย เช่น พิธีรับศีลจุ่ม พิธีแต่งงาน ฯลฯ สำหรับนักเรียนนักศึกษา เดือนอากาศดีนี้หมายถึงการสอบปลายปีด้วย แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่ทุกคนคิดว่าสวงาม อากาศดี แต่ก็เป็นฤดูที่อากาศไม่แน่นอน อากาศจะเปลี่ยนแปลงจนไม่สามาถคาดหมายได้ แต่ฤดูใบไม้ผลิก็นับว่าเป็นฤดูที่ดีที่สุดฤดูหนึ่งของปี
2. ฤดูร้อน ( l’été )
เริ่มวันที่ 22 มิถุนายน สิ้นสุดวันที่ 22 กันยายน ฤดูร้อนเป็นฤดูที่กลางวันยาวมาก เมื่อกลางวันยาว กลางคืนก็สั้นประมาณ 6 – 7 ชั่วโมง กลางวันยาวในที่นี้ หมายความว่า พระอาทิตย์ตกดินช้า สามทุ่มหรือสี่ทุ่มยังไม่มืด เมื่อไม่มืดก็มีความรู้สึกว่ายังไม่ถึงกลางคืน ในประเทศสแกนดิเนเวียนนั้นในฤดูร้อน กว่าพระอาทิตย์ตกดินหรือจะมืดก็ประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน กลางคืนจะยาวประมาณ 6 – 7 ชั่วโมง ฤดูร้อนในฝรั่งเศสอากาศร้อน ผู้คนจึงไปชายทะเล ฤดูร้อนเป็นฤดูแห่งวันหยุด ผู้คนเฝ้ารอฤดูนี้เพื่อจะได้ไปเที่ยวทะเล เพื่อจะได้อาบแดด เพื่อจะได้รับประทานผลไม้สด ๆ เช่น สตรอเบอรี่ แต่ในฤดูร้อนผลไม้ยังไม่อร่อย ต้องรอให้ผลไม้สุกเสียก่อน ฤดูร้อนบางปีอากาศอาจจะไม่ดีฝนตกบ่อย ๆ ฤดูร้อนที่อากาศไม่ดีเรียกว่า été pourri ความหมายก็บอกว่าไม่เพลิดเพลิน เป็น “ฤดูร้อนที่เน่าเสีย” คาดว่า “été canicule” หมายถึงช่วงต้นฤดูร้อนที่อากาศร้อนมาก บางเมืองอากาศจะร้อนมาก อุณหภูมิที่สูงสุดในฤดูร้อนในฝรั่งเศสประมาณ 30 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนมากสำหรับประเทศหนาว ทำให้คนอยากไป vacances โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองใหญ่อย่างปารีส
3. ฤดูใบไม้ร่วง ( l’automne )
ฤดูใบไม้ร่วงเริ่มต้นวันที่ 23 กันยายน สิ้นสุดวันที่ 21 ธันวาคม อากาศที่สดใส แดดจ้าในฤดูร้อนเริ่มเปลี่ยน ท้องฟ้าสีเทา ลมแรง ใบไม้เริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวมาเป็นสีเหลือง กลางวันสั้นมากขึ้น กลางคืนยาวขึ้น ใบไม้สีเหลือง แห้งและร่วง ฤดูใบไม้ร่วงก็เหมือนฤดูอื่น ๆ คือ อาจจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศดี หรือฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศไม่ดี คือ ฝนอาจจะตกบ่อย ตอนต้นฤดูอากาศมักจะดี ตอนปลายฤดู คือ เดือนพฤศจิกายนอากาศจะไม่ดี ท้องฟ้าเป็นสีเทาและมืดครึ้ม ตอนที่ใบไม้ร่วง ต้นไม้โกร๋นเป็นตอนที่เศร้า แต่ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่สวยฤดูหนึ่ง เพราะใบไม้ที่เปลี่ยนสีทำให้ฟ้าสวยงามหาที่เปรียบไม่ได้ ป่าไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ( ตอนต้นและตอนกลางฤดู ) จะใช้คำขยายว่า coloré ซึ่งหมายถึงระบายด้วยสีประดับด้วยสี ( อันสวยงาม ) “ศิลปินมักจะให้ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่สวยที่สุด เนื่องจากสีใบไม้ที่เปลี่ยนสีแตกต่างกันมากมายหลายสี ซึ่งธรรมชาติเท่านั้นจะทำได้ ทางใต้ของฝรั่งเศสอากาศจะไม่หนาว แต่มีลมแรง ทางใต้จึงสามารถปลูกต้นไม้ที่สู้ลมได้ เช่น ต้นมะกอก ( Olivier ) ต้นโอ๊ค ( Chêne vert ) ต้นไม้ที่มีรากยาว ๆ เช่น องุ่น ฤดูใบไม้ร่วง เป็นฤดูที่ดีที่สุดของคนบางกลุ่ม คนฝรั่งเศสจำนวนหนึ่งที่ชอบล่าสัตว์จะถือปืนออกล่าสัตว์ ฤดูนี้เป็นช่วงที่คนในประเทศหนาวสามารถออกมาเดินกลางแจ้งได้ ก่อนที่ความหนาวจะคลืบคลานเข้ามา

4. ฤดูหนาว ( l’hiver )
เริ่มวันที่ 22 ธันวาคม สิ้นสุดวันที่ 20 มีนาคม ปลายฤดูใบไม้ร่วง กลางวันสั้นมากขึ้น ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฤดูหนาวในประเทศหนาวหรือประเทศฝรั่งเศสคือ ความหนาว ฝนและหิมะ แต่ฤดูหนาวก็เหมือนฤดูอื่น ๆ คือ เป็นฤดูที่คนบางกลุ่มเฝ้ารอ นั่นคือผู้ที่ชอบกีฬาฤดูหนาวและผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับกีฬาฤดูหนาว เมืองที่อยู่บริเวณภูเขาและเป็นสถานีสกี ( Stations de ski ) จะคึกคักและมีชีวิตชีวา ฤดูหนาวเป็นฤดูแห่ง " Sports d'hiver " ครอบครัวหรือโรงเรียนจะพาลูก ๆ และเด็ก ๆ ไปเล่นสกีบนภูเขาในช่วง " Vacances de neige " ผู้ที่เดินทางโดยการขับรถที่อยู่ในเขตภูเขาที่มีหิมะตกจะต้องมี pneus à clons หรือ roués avec chaine ซึ่งเป็นยางรถที่ใช้บนถนนที่ลื่นด้วย vergle ( ฝนปนหิมะ ) gel ( น้ำที่แข็งตัว ) และ dégel ( น้ำแข็งที่ละลายแล้ว ) นอกจากเจ้าของรถจะต้องเตรียมรถของตนเองให้พร้อมที่จะแล่นไปบนถนนที่อันตรายแล้ว ทางราชการก็เตรียม chasse - neiges ( รถกวาดหิมะ ) เพื่อเปิดทางหากหิมะตกมาก ๆ บนทางหลวงก็จะมีกระสอบทรายและกระสอบเกลือวางไว้ประจำจุด ฤดูหนาวเป็นฤดูแห่งการฉลอง จะเห็นว่ามีเทศกาลหลายเทศกาลในฤดูนี้ เช่น Fête de Saint - Nicolas ; Noël ; Nouvel An ; Fête des Rois ; Carnaval
นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอากาศปานกลาง ( le climat doux et tempéré ) ของยุโรปแล้ว อากาศในฝรั่งเศสยังแตกต่างกันตามลักษณะภูมิประเทศ และลักษณะที่เด่นคือ ความไม่แน่นอน อากาศแต่ละฤดูไม่เหมือนกัน และฤดูเดียวกันในแต่ละปีก็ไม่เหมือนกัน

Le festival (เทศกาลสำคัญในฝรั่งเศส)


Le festival du théâtre à Avignon. (เทศกาลละครที่ Avignon)
Le festival du film à Canne. (เทศกาลภาพยนต์ที่ Canne)
Le festival du film fantastique à Avoriaz. (เทศกาลมหัศจรรย์ภาพยนต์ที่ Avoriaz)
Le festival de la musique à Aix-en-Provence. (เทศกาลดนตรีที่ Aix-en-Provence)
Le festival du jazz à Metz. (เทศกาลดนตรีแจ็สที่ Metz)
Le festival de la bande dessinée à Angoulème. (เทศกาลการ์ตูนที่ Angoulème)


เทศกาล Carnaval de Nice



มีจัดขึ้นทุก ๆ เดือนกุมภาพันธ์ นักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลมาร่วมงานกันเยอะมากรถทัวร์จอดเรียงกันเป็นตับริมทะเล โรงแรมถูกจองเต็มทุกแห่งถือเป็นงานใหญ่ประจำปีของทางเฟร้นช์ริเวียร่านี้เลยล่ะ ทางเมืองเขาทุ่มงบเต็มที่แต่ละปี เขาก็เปลี่ยน theme การแสดง ให้แตกต่างกันออกไป สำหรับ Theme ของปี 2010 คือ ” King Of The Blue Planet “ บรรดาขบวนพาเหรดน้อยใหญ่จึงถูกออกแบบขึ้นโดยเน้นสัตว์ในท้องทะเลเป็นหลักค่ะ รถทัวร์จอดเรียงกันเป็นตับริมทะเล โรงแรมถูกจองเต็มทุกแห่งถือเป็นงานใหญ่ประจำปีของทางเฟร้นช์ริเวียร่านี้เลยล่ะ ทางเมืองเขาทุ่มงบเต็มที่









































เทศกาลละครที่ Avignon

Avignon Theatre Festival สร้างโดย Jean Vilar ในปี 1947 เป็นปีของฤดูร้อนผู้คนมักแวะพักกันที่นี้และจำเป็นในชีวิตทางวัฒนธรรมของฝรั่งเศส








เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์

เป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 ถือเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเทศกาลหนึ่ง และมีอิทธิพลมากที่สุดรวมถึงชื่อเสียง เทียบเคียงกับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสและเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน งานจัดขึ้นประจำปี ราวเดือนพฤษภาคม ที่ Palais des Festivals et des Congrès ในเมืองคานส์ ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส


ประวัติเล็กน้อย นี้แน่นอนก็คือ Angoulême การ์ตูน City International และภาพที่บันทึกภาพการ์ตูนทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในฝรั่งเศส ประเภทของห้องสมุดแห่งชาติการ์ตูน … และยังอย่างใดไม่มีอะไรจะ Angouleme เพื่อผูกความสัมพันธ์ให้ดีกับศิลปะที่ 9เมืองอุตสาหกรรมขนาดเล็กมี Angouleme ไม่มีการเชื่อมต่อโดยเฉพาะในจักรวาล 70s ต้นนี้ มันเริ่มต้นด้วยนิทรรศการง่ายๆเรื่อง”10 ล้านภาพ : ยุคทองของการ์ตูน”จัดในช่วงปลาย 1972 ใน Groux ริเริ่มของ Francis จากนั้นสมาชิกสภาเทศบาล เขามีความคิดที่จะโทร Claude Moliterni เพื่อให้ได้ภาพและเสียงสำหรับงานนิทรรศการ ในปีถัดไป, John Mardikian, รองนายกเทศมนตรีวัฒนธรรมคือการจัดปักษ์ของวรรณคดีที่ที่เขาสงวนสองวันพุธอุทิศให้กับการ์ตูน แม้นั้นของผู้เขียนที่มีชื่อเสียงมากขึ้นลักษณะที่ Angouleme ต่อไปความกระตือรือร้นที่ตามนั้นมันก็เพียงพอที่เนื่องจากปีนี้เทศกาลถูกสร้างขึ้นในรูปแบบปัจจุบัน มันหนักเสมอเพื่อเทศกาล Lucca ในเวลาที่ใหญ่ที่สุดของชนิดในยุโรปแล้วจะจัดโดยสมาคมประธาน Francis Groux และมีเลขานุการเป็นผู้ใดนอกจาก John Mardikianทั่วไป




เทศกาลลาเวนเดอร์ Fête de la lavande


…กลับมาอีกครั้งกับเทศกาลลาเวนเดอร์ประจำปีในแคว้นโพรวองซ์ ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาชมการเก็บเกี่ยว เลือกชม เลือกชิม เลือกซื้อสินค้าโดยตรงจากเกษตรกร สาธิตการกลั่นลาเวนเดอร์ และขั้นตอนการผลิตผลิตภัณฑ์จากลาเวนเดอร์ ชมการแสดงพื้นเมือง ของชาวโพรวองซ์ ร่วมเก็บเกี่ยวลาเวนเดอร์จากทุ่งและนำกลับไป เป็นของที่ระลึกจากโพรวองซ์ พลาดไม่ได้กับการนั่งเฮลิคอปเตอร์ ชมทุ่งลาเวนเดอร์ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา … วันที่ 4 กรกฎาคม ที่เมือง Ferrassières … วันที่ 18 กรกฎาคม ที่เมือง Valensole

วัฒนธรรมที่แตกต่างของฝรั่งเศสกับไทย
๑.คนฝรั่งเศส ชอบสั่งน้ำมูกเสียงดัง บางทีเจอชายหนุ่มหล๊อหล่อ… แต่ดันสั่งน้ำมูกเสียงดัง…โอเคเลย ยิ้มค้างแหละข้าพเจ้า
๒.เรื่องของตด… อันนี้คนใกล้ตัวเลย ทั้งสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ เวลาอยากจะตด ก็เรียกว่า ปล่อยกันอย่างเสรีเลยทีเดียว
๓.เรื่องของการล้างจาน… ที่บ้านมีเครื่องล้างจาน แต่ชอบวางจานที่ใช้แล้ว รอจนกว่าจะเต็มเครื่องแล้วถึงจะล้างทีเดียว ซึ่งบางทีก็กินเวลาไปสองวัน… บางบ้านกินเวลาไปวันที่สาม… เอ่อ… สองวันก็ว่าแย่แล้ว
๔.หากล้างจานเพียงไม่กี่ใบ… คนที่นี่จะใช้น้ำยาล้างจานแบบพิเศษ ที่จุ่มน้ำเดียวแล้วเอาขึ้นมาเช็ดให้แห้ง โดยที่ไม่ล้างน้ำทิ้งแบบบ้านเราจนสะอาดจนแน่ใจอะไรประมาณนั้น หรือเค้าประหยัดน้ำกันขนาดนั้นนะ
๕.เรื่องการอาบน้ำ… ที่นี่จะอาบเพียงครั้งเดียวต่อวัน และอาบแบบรวดเร็วมาก ไม่ถึงห้านาทีก็เสร็จแล้ว
๖.เรื่องเสื้อผ้า… จะใส่ซ้ำอยู่ สาม ครั้งกันเลยทีเดียว…
๗.เรื่องกิน เป็นอันรู้กันว่า วัฒนธรรมการกินของฝรั่งเศสนั้นเป็นสเต็บ จะเริ่มจากของเบาๆ ก่อน แล้วตามด้วยเมนูหนัก เช่น ถ้ามีหน่อไม้ฝรั่งต้ม สลัดผัก แกะอบ ขนมปัง ชีส ก็จะไล่กันมาเป็นสเต็บ จะกินทีละเมนู
๘.เห็นหลายบ้านที่มีตู้เย็น ตู้แช่แข็ง ยิ่งกว่าร้านขายอาหารทะเล… แบบว่าอลังการสุดๆ สองตู้แช่ใหญ่ๆ สามตู้เย็นปกติ รวมๆ แล้วก็ซัดไปสี่ห้าตู้กันเลยทีเดียว (ค่าไฟเท่าไหร่ไม่ต้องเดาให้ยาก) อาจเป็นว่า เก็บตุนเสมียงช่วงหน้าหนาว
๙.เรื่องประหยัด อันนี้เห็นทุกครัวเรือน ที่ต้องประหยัด หรือคนชาตินี้ ระมัดระวังเรื่องเงินกันทั้งประเทศก็ไม่รู้นะ ชาติอื่นเป็นหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่เมืองไทยเรา ก็ไม่คิดว่าจะต้องประหยัดกันมากมายก่ายกอง เช่น เวลาที่ต้องการซื้อของกิน ผลไม้ ผักสด บ้านเราก็ซื้อกินกันจุใจ กินไม่หมดก็ทิ้งบ้างสำหรับผัก แต่ที่นี่ เห็นชัดๆ ว่าระมัดระวังและบริการควบคุม เรื่องผัก ได้อย่างไม่มีเหลือทิ้ง
๑๐.เรื่องของการใช้รถยนต์ ที่นี่เห็นว่ารถคันเล็กแล้ว ก็ยังมีเล็กกว่าที่เห็นอีก เรียกว่าแข่งกันเล็กก็ว่าได้ ในขณะที่บ้านเรา แข่งกันขับรถคันใหญ่โตมโหฬาร
๑๑.เรื่องการบริการ…คนที่นี่จะบริการตัวเองเป็นหลัก เช่น เติมน้ำมัน หรือไปช็อปปิ้งก็จะต้องไปเก็บรถเข็นเข้าที่เข้าทางห้ามทิ้งเกะกะ หรือ การที่เราจะแหลมหน้าเข้าไปช่วยเหลือใครบางคน
ต้องถามเค้าก่อนว่า เขาต้องการหรือเปล่า เนื่องจากมันจะเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว ในขณะที่บ้านเราเป็นการแสดงความมีน้ำใจ และเรื่องของการบริการ บ้านเรานี่บริการสุดใจขาดดิ้นกันเลยทีเดียว ที่ฝรั่งเศสนี่ยาก!!!!
๑๒.เรื่องเวลาเปิดปิดห้าง สรรพสินค้า ที่นี่เปิดกันแค่ สองสามทุ่มในเมืองใหญ่ๆ ปิดเสาร์อาทิตย์ อีกต่างหาก
หลายเดือนก่อน ที่ โอบาม่า และศรีภรรยามาปารีส…. และโอบาม่าได้เอาเรื่องที่เค้าไม่สามารถหาที่เดินช็อปปิ้งกับครอบครัวในวันอาทิตย์…เอามาล้อ ซาโกซี่ เป็นเรื่องขบขันไป
ว่าวันอาทิตย์ไม่สามารถช็อปปิ้งในฝรั่งเศสได้

Elizabeth Bathory

เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ (Countess Elizabeth Báthory) เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมค.ศ. 1560 ในเมือง Nyírbátor ประเทศฮังการี เป็นคนในตระกูล บาโธรี่ ซึ่งมีความเกี่ยวดองกับกษัตริย์ฮังการีในสมัยนั้น

อลิซาเบธ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1614 (54 ปี) ในเมือง Čachtice ประเทศสโลวาเกีย

คลิกชมภาพต่อไป  คลิกชมภาพต่อไป   

ประวัติ

เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ เป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อในเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะ และต้องการคงร่างของตนเองให้คงดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงมีความคิดที่ว่า หากได้อาบเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์แล้ว จะทำให้ตนเองดูอ่อนเยาว์ได้ตลอดไป เธอจึงสั่งให้คนรับใช้ไปเอาร่างของหญิงสาวบริสุทธิ์ มากรีดเอาเลือดใส่อ่างด้วยเครื่อง ไอรอน เมเดน (Iron maiden) แล้วอาบต่างน้ำ โดยมีเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับเธอไปไม่น้อยกว่า 600 คน กว่าที่เธอจะถูกคนจับไปขังในคุกมืดจนตาย เธอได้รับสมญานามว่า The Blood Countess และ Countess Dracula

เอลิซาเบธ เกิดในปราสาทเชิงเขาคาร์เทียนใกล้ๆ กับแคว้นทรานซิลวาเนีย ซึ่งเป็นของตระกูลบาโธรี่อันเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของฮังการี่และสืบสายมา จากตระกูลแฮบสเบิร์กอันเก่าแก่ของยุโรป ตระกูลบาโธรี่จึงเป็นตระกูลที่เก่าแก่ร่ำรวย มีอำนาจล้นหลาม เป็นที่น่ายำเกรงของประชาชนทั่วไป และปกครองแคว้นทรานซิลวาเนียมาหลายต่อหลายยุคสมัย

ความจริงแล้ว เอลิซาเบธไม่ใช่เด็กหญิงที่สวยงาม เธอออกจะขี้เหร่ด้วยซ้ำแต่ด้วยความที่เป็นลูกผู้ดีมีตระกูล จนจักรพรรดิมาร์คมิชิเลียนที่ 2 เคยมาขอดูตัวด้วยซ้ำ เอลิซาเบธจึงมีทั้งความสวยทั้งหน้าตา รูปร่าง(เธอคิดเอาเอง) และชาติตระกูลสูงส่ง แต่มันเหมือนนรกจับยัดมาเกิด เพราะเธอกลับมีอาการบกพร่องทางจิตอย่างรุนแรง

เป็นเรื่องธรรมดาของตระกูลเก่าแก่ที่มีการแต่งงานกันเองในหมู่ญาติเพื่อ รักษาทรัพย์สมบัติและอำนาจเอาไว้ ทำให้ผู้สืบสายเลือดตระกูลนี้จำนวนมากมีอาการบกพร่องทางจิตอันเนื่องมาจาก ลักษณะทางพันธุกรรม เป็นต้นว่าโรคฮิสทีเรีย พฤติกรรมรักร่วมเพศ หรือแม้แต่การสืบทอดของสาวกลัทธิบูชาปีศาจ ผู้มักมากในกาม ฯลฯ เอลิซาเบธ ก็เช่นเดียวกัน

นิสัยเพี้ยนของเอลิซาเบธ ปรากฏตั้งยังเล็กๆ อยู่นั่นแหละ เอลิซาเบธนั้นแทนที่จะพอใจกับเกียรติยศที่ผู้คนเตรียมใส่พานทองมาประเคนให้ แต่เธอกลับใฝ่ต่ำ ทำท่าเบื่อหน่ายพวกพี่เลี้ยง ครูอาจารย์ที่มาอบรมสั่งสอน เธอกลับเกเรหนีเรียน แอบไปเที่ยวเล่นกับลูกชาวนา ชาวไร่ที่เป็นทาสติดที่ดิน เธอชอบเล่นสัปดนเสียจนท้องเมื่ออายุเพียง 13

ข่าวที่น่าอับอายถูกส่งไปบอกผู้เป็นมารดาอย่างเร่งด่วน และก่อนที่จะมีผู้ใดระแคะระคาย เธอก็ถูกส่งตัวไปไว้ในปราสาทแห่งหนึ่งของตระกลูบาโธรี่ที่ห่างไกลสายตาผู้คน ท่านแม่ของเธออ้างว่าลูกสาวไม่สบายต้องการอยู่ในที่สงบเพื่อรักษาตัว และเมื่อทารกเกิดมาก็อาจถูกฆ่าทิ้งหรือไม่ก็ถูกส่งไปที่ลับหูลับไม่ให้มีใคร รู้เด็ดขาดเลยว่าเจ้าสาวเคยมีลูกกับพวกไพร่ แต่ใครไม่รู้ว่า ทารกลูกคนแรกของเอลิซาเบธหลังจากลืมตามายังโลก สุดท้ายแล้วซะตากรรมเป็นเช่นใด

เมื่อเธอโตขึ้น เอลิซาเบธ เริ่มมีอาการป่วยเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังจนตลอดชีวิตของเธอ มีหมอหลายคนทำการรักษาแต่ก็ไม่หาย จนกระทั่ง.........

มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยเด็กที่เธอเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จนกัดเนื้อไหล่ของสาวใช้ที่เข้ามาพยาบาล หลุดออกมา สาวใช้ร้องลั่น เอลิซาเบธได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้นั่นเอง น่าแปลกที่อาการปวดหัวของเธอกลับหายเป็นปลิดทิ้ง นับแต่นั้นมา เกิดอาการปวดหัว เธอก็จะทรมานสาวใช้เพื่อให้เสียงร้องเหล่านั้นเป็นยาระงับอาการของเธอ

ปี 1575 เมื่อเอลิซาเบธ อายุ 15 ปี เธอก็แต่งงานกับท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่า 11 ปี (หลังจากแต่งงานแล้ว เอลิซาเบธ ก็ยังคงใช้ชื่อตระกูลเดิม) ทั้งสองย้ายที่อยู่ไปยังปราสาทเซติซ ปราสาทกว้างใหญ่แต่มืดทะมึนดูน่าสยดสยองกลางป่าลึกบนภูเขาคาร์ลปาเชีย ในสโลวาเกีย เพื่อจะอบรมเตรียมรับตำแหน่งเคาน์เตส นายหญิงแห่งอาณาจักรอันไพศาล

ท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ ไม่ใช่คนดีมากนัก ออกจะจิตวิตถารเช่นเดียวกับอลิซาเบธเสียด้วยซ้ำ สองสามีภรรยามักสนุกตื่นเต้น สนุกสนาน อยู่ด้วยกันเสมอกับการได้ทรมานบ่าวไพร่ ซึ่งเคาน์ฟีเรนซ์ มักจะเล่าให้อลิซาเบธฟังถึงการที่เขาเคยทรมานทรกรรมเชลยชาวเติร์กอย่างโหด เหี้ยม และอลิซาเบธเองก็สนองคิดค้นหาวิธีสยดสยองต่างๆนาๆมาทดลองใช้กับคนของตัวบ้าง

ทั้งสองมีความสุขกับรสนิยมที่ต้องกันอย่างนี้มากล้นจนมีบุตรธิดาด้วยกันถึง 4 คน

แต่ฟีเรนซ์มักจะไปออกรบตามที่ต่างๆจนไม่ค่อยอยู่ติดปราสาท ชีวิตสมรสของเอลิซาเบธ จึงไม่หวานชื่นเท่าใดนัก อาการปวดหัวของเธอกำเริบถี่ขึ้นและการทรมานสาวใช้ก็ค่อยๆหนักข้อขึ้นทุกที เป็นต้นว่า การแทงเข็มเข้าที่ปลายนิ้วของสาวใช้ หรือจับสาวใช้มาทาน้ำผึ้งทั่วตัวแล้วโยนลงไปในห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยมด แต่นี่ก็ยังไม่นับเป็นการเปิดฉากตำนานเลือดของเธอเลยด้วยซ้ำ


เอลิซาเบธ เริ่มหางานอดิเรกใหม่มาทดแทนชีวิตอันน่าเบื่อ ซึ่งก็คือมนต์ดำที่คนรับใช้เป็นผู้แนะนำนั่นเอง เธอมักจะลงไปหมกตัวอยู่ในห้องใต้ดินและประกอบพิธีกรรมประหลาดกับคนรับใช้ บ่อยครั้ง และในไม่ช้าเอลิซาเบธ ก็เริ่มมีชู้ ฟีเรนซ์รับรู้เรื่องนี้แต่ใจกว้างพอที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หากไม่นานนักแม่ของฟีเรนซ์ก็ย้ายมาอยู่ด้วย จึงเป็นการเปิดสงครามเย็นระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้ในที่สุด

เอลิซาเบธมักประพฤติตัวเป็นภรรยาผู้เรียบร้อยต่อหน้าสามี แต่พอลับหลัง เธอก็ทำกระทั่งการจับสาวใช้ของแม่สามีมาทรมานจนตาย

จะอย่างไรก็ตาม เอลิซาเบธมีลูก 4 คน จึงทำให้สภาพครอบครัวยังไม่ถึงกับพังทลายลงในทีเดียว ชีวิตฆาตกรของเธอเริ่มต้นขึ้นหลังจากการตายของสามีเสียมากกว่า

ปี 1600 ในฤดูหนาว เอลิซาเบธอายุได้ 40 ปี ฟีเรนซ์สามีคู่ชีวิตซาดิสต์ได้เสียชีวิตลงในขณะอายุ เพียง 51 ปี ทิ้งสมบัติและอำนาจทุกอย่างไว้ในมือของภรรยา และแทบจะในวันเดียวกันนั้นเอง แม่ก็จากโลกนี้ตามลูกชายไปอีกคน มีข่าวลือภายหลังว่าเป็นการวางยาพิษ

ทีนี้ก็ไม่มีใครจะมาขวางทางเอลิซาเบธได้อีก เธอกลายเป็นราชินีในอาณาจักรของเธอ ชีวิตประชาชนก็เหมือนกับลูกไก่ในกำมือ จะบีบจะคลายก็ขึ้นอยู่กับใจเธออย่างเดียว จะมีก็แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เป็นไปดังใจคิด เอลิซาเบธมีความภูมิใจในรูปโฉมของตัวเองมาก แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถเอาชนะกาลเวลาได้ นับวันร่างกายเหี่ยวยานตามกาลเวลา เธอต้องการความสวย ความสวยที่เป็นอมตะตลอดกาล

มีการสั่งให้แม่มดหมอผีที่คุ้นเคยทำยาคืนความสาวมาใช้หลายขนาน แต่ไม่ว่าอันไหนก็ไม่ค่อยเห็นผลเท่าใดนัก จนกระทั่ง.........


เช้าวันหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแต่งองค์ทรงเครื่อง ทันใดนั้นขณะที่เธอส่องดูเงาตัวเองในกระจกเธอก็ต้องชะงักเพ่งมองแล้วมองอีก นี่ความชราย่างกรายเข้ามาทำร้ายตัวเธอแล้วหรือจริงซินะ.....เธอนึกได้ว่า อายุเธอปาเข้าไปตั้ง 45 แล้วนี่นา เอลิซาเบธใจหายวาบถึงจะไม่สวยแต่เธอก็ไม่อยากแก่และกลัวอย่างที่สุด เธอรู้สึกเหมือนความแก่เฒ่านั้นมันมีตัวตน เอาปากครีมมาหนีบดึงถึ้งเนื้อที่เต่งตึงผุดผ่องของเธอทีละชิ้นๆ เมื่อเธอหงุดหงิด ขัดข้องก็ยิ่งต้องหาเรื่องระบายอารมณ์และความบันเทิงใดเล่า จะเท่ากับการลากคนมาทรมาน

ขณะที่สาวใช้กำลังสางผมให้กับเอลิซาเบธ คงเพราะเกร็งไปหน่อยจึงออกแรงมากไป ดึงผมหลุดติดหวีมาหลายเส้น เอลิซาเบธระเบิดอารมณ์ทันที เธอใช้เชิงเทียนที่อยู่ใกล้มือทุบเด็กสาวอย่างไม่ยั้งมือ แล้วลงมือหวดแซ่หนังผูกปมโลหะใส่เนื้อหนังมังสาของทาสชะตาขาดนั้นอย่างเมา มัน ความรุนแรงของเธอทำเอาแซ้ตวัดเกี่ยวหนังของผู้เคราะห์ร้ายหลุดกระเต็นออกมา เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หยาดเลือดสาดกระเซ็นเป็นฝอยมาติดตามตัวของเธอ การโบยหฤโหดจบลงพร้อมๆ กับชีวิตของทาสที่เละเป็นหมูบะช่อแต่ทว่าเรื่องที่ร้ายที่สุดกำลังจะเกิด ขึ้นเคาน์เตส หอบเหนื่อยเกือบหมดแรงแต่ก็สนุกสมใจไม่น้อยเลย

ความอัจฉริยะบังเกิดขึ้นอีกแล้ว เอลิซาเบธตาวาวโรจน์เปี่ยมสุขขึ้นมาทันใด คราวนี้เธอค้นพบสูตรใหม่แห่งยาอายุวัฒนะ เธอนั่งลงเห็นและเห็นหยาดเลือดทาสที่กระเด็นมา จึงให้สาวใช้ต้นห้องเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้า และแล้วความโหดเหี้ยมแปรเปลี่ยนเป็นความพิศวง เมื่อเคาน์เตสพบว่าใต้รอยเลือดนั้นผิวของเธอกลับนุ่มนวลผุดผ่องเป็นยองใยราวสาวแรกรุ่นอ่อนนุ่ม ละมุนละไม ผิดกับผิวเนื้อตรงอื่นอย่างเหลือเชื่อ เธอคิดได้ว่าเลือดสด ๆ มีคุณสมบัติพิเศษที่จะบันดาลให้เธอเป็นสาวอมตะได้ตลอดกาล เลือดนั้นจะต้องเป็นของสาวแรกรุ่นซินะ มันถึงจะได้ฤทธิ์ของน้ำแห้งชีวิตอย่างเต็มที่

และด้วยเหตุนี้เองโศกนาฏกรรมการฆ่าสังหารเด็กสาวกว่า 600 คนเพื่อประทังความงามของเอลิซาเบธ บาโธรี่จึงเริ่มต้นขึ้น

เหยื่อของเอริซาเบทส่วนใหญ่จะเป็นคนเลือกเหยื่อด้วยตนเองเธอต้องการเลือดของ เด็กสาวบริสุทธิ์ โดยเฉพาะสาวแรกรุ่นที่แสนสวยมีอกอวบอิ่ม

เธอสั่งให้เชือดและชำแหละเพื่อรีดเลือดทุกหยดออกมาให้ได้มากที่สุด เด็กหญิงคนแล้วคนเล่าต้องตายอย่างทุกทรมาน บางคนถูกกรีดร่างจนเป็นริ้วลึกถึงกระดูก ตัดเส้นเลือดทุกเส้นในร่างที่งดงาม หลายคนถูกแหวะอก ผ่าท้องกรีดหัวใจเลือดพุ่งไหลเป็นสายน้ำ แล้วให้เธออาบร่างนั้นอย่างมีความสุข

เมื่อลูกทาสของคนรับใช้และทาสในที่ดินตายหมดแล้ว เอริซาเบทก็ให้ลูกน้องบริวารไปล่อลวงหลอกเอาสาวชาวบ้านตามชนบทเข้ามา

เอลิซาเบทเริ่มทำการรวบรวมเด็กสาวจากที่ต่างๆในดินแดนของตน ชาวบ้านที่ยากจนต่างก็ยินดีที่จะส่งลูกสาวออกมาทำงานในปราสาทเพียงเพื่อแลก กับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด เหล่าเด็กสาวพากันลอดประตูปราสาทเข้ามาด้วยใบหน้าร่าเริงราวกับจะไปปิกนิค แต่ไม่มีใครที่รอดกลับมาได้ พวกเธอถูกคั้นเลือดออกมาจนหยดสุดท้ายแล้วถูกฝังไว้ในสวนหลังปราสาทโดยที่พ่อ แม่พี่น้องก็ไม่มีโอกาสจะทราบข่าวถึง

วิธีการทรมานของเอลิซาเบธ ยิ่งยกระดับเสียยิ่งกว่าเก่า มีทั้งการใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเองล้วงเข้าไปในปากและฉีกร่างของเหยื่อออก เป็นสองซีก เด็กสาวบางคนที่พยายามจะหนีก็ถูกตัดเท้าทิ้ง

มีบันทึกกล่าวถึงงานฉลองที่เอลิซาเบธ จัดขึ้น เธอได้รวบรวมเด็กสาวหน้าตาดีจำนวน 60 คนมาจัดงานเลี้ยง คนแคระพากันเต้นรำ แม่มดก็พ่นไฟ เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาถึงจุดสูงสุดนั่นเอง ประตูถูกปิดตาย และทหารก็กรูกันเข้ามา เด็กสาวที่พากันหนีลนลานบ้างก็ถูกข่มขืนแล้วแทงด้วยมีดที่กลางอก บ้างก็ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดแขนตัดขาและเสียเลือดมากจนสิ้นลม

ศพและชิ้นส่วนต่างๆถูกรวบรวมมากรองเลือดใส่อ่าง และเอลิซาเบธก็เปลื้องผ้าลงแช่ในอ่างเลือด แต่การรอให้เลือดเต็มอ่างก็ยังไม่ทันใจเธออยู่ดี เอลิซาเบธจึงทดลองวิธีที่เร็วกว่าด้วยการปาดคอเด็กสาวให้เลือดกระฉูดออกมาใส่ตนเองเหมือนฝักบัวเลือด แต่เนื่องจากเหยื่อกรีดร้องน่ารำคาญ เด็กสาวคนที่สองจึงถูกเย็บปากเพื่อรักษาสุขภาพหูของเอลิซาเบธ

อีกสิ่งหนึ่งที่เอลิซาเบธทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์โลกก็คือ เครื่องมือทรมานที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่ง Iron Maiden นั่นเอง ช่างทำนาฬิกาถูกเรียกตัวมาจากเยอรมันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มีการบรรยายเกี่ยวกับสุภาพสตรีเหล็กตัวแรกสุดไว้ดังนี้

"ตุ๊กตาเหล็กนี้มีรูปร่างเป็นร่างเปลือยทาสีเนื้อ ส่วนใบหน้ามีการแต้มเครื่องสำอาง เมื่อกลไกขยับปาก ก็จะปรากฏรอยยิ้มอันเลื่อนลอยและเหี้ยมโหดขึ้นบนใบหน้า ที่อกมีพลอยประดับอยู่เป็นปุ่ม เมื่อกดปุ่ม ตุ๊กตาก็จะค่อยๆยกแขนขึ้น จากนั้นแขนก็จะเคลื่อนมาเป็นกอดอกซึ่งคนที่อยู่ในระยะรัศมีก็จะถูกแขนของ ตุ๊กตากอดไว้ พร้อมกันนั้น ส่วนตัวด้านหน้าก็จะเปิดออกเป็นบานประตู ภายในเป็นช่องกลวงและด้านหลังบานประตูมีเข็มแหลมยาวงอกอยู่ 5 เล่ม ผู้ที่ถูกตุ๊กตากอดไว้จะถูกขังอยู่ภายในตัวตุ๊กตาและถูกเข็มเหล่านี้แทง คั้นเลือดออกมาจนเสียชีวิต"

อย่างไรก็ตาม เครื่องทรมานดังกล่าวนี้ไม่ได้ถูกใช้งานจริงมากเท่าที่เข้าใจกัน เนื่องจากเข็มพากันทื่อเสียหมดเพราะเป็นสนิมจากเลือด เอลิซาเบธ จึงออกคำสั่งใหม่ให้สร้างกรงเหล็กขนาดใหญ่ซึ่งมีเข็มแหลมอยู่ภายใน กรงดังกล่าวจะถูกเฟืองโซ่ยกขึ้นสูงจากพื้นโดยมีเด็กสาวอยู่ข้างใน และเมื่อเขย่ากรง เลือดก็จะกระจายลงมาสู่เอลิซาเบธ ที่อยู่เบื้องล่างราวกับเป็นฝนเลือด

จนเวลาผ่านไปเกือบห้าปี ลูกสาวชาวไร่ชาวนาหายสาบสูญไปจนหมดสิ้น ความผิดพลาดเอลิซาเบธเกิดขึ้นเมื่อเธอไปเที่ยวที่เมืองวีน เหตุการณ์สยองจึงเริ่มเกิดต่อสาธารณชนรับรู้ครั้งแรก เมื่อมีผู้ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องดังออกจากห้องพักของเอลิซาเบธ

เอลิซาเบทหันไปหาพวกธิดาของพวกผู้ดีมีตระกูล บางรายเป็นลูกของเพื่อนๆผู้สูงศักดิ์ของเธอด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้บ่าวไพร่หมดปัญญาจะเอาศพไปทิ้งไม่ให้ใครเห็นเพราะมีเหยื่อมากมาย ก่ายกองจนต้องโยนออกมาในตอนกลางคืนเพื่อให้ฝูงหมาป่ารุมกินเป็นความเอร็ด อร่อยยามดึก แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อฝูงหมาป่าก็กินไม่หมด คราวนี้ละพวกญาติๆที่มาตามหาสาวน้อยของพวกเขาก็ได้เห็นภาพอันสยองขวัญ ตอนแรกมีชาวบ้านมาพบกองซากศพที่ซีดเผือกไม่มีเลือดอยู่เหลือเลยแม้แต่หยด เดียว เลยเกิดล่ำลือไปว่าในป่านี้มีผีดิบดูดเลือดอยู่

คนเลี้ยงสัตว์ของเอลิซาเบธจึงรีบไปตรวจดูและพบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของนัก ร้องสาวของสมาคมแห่งหนึ่งในเมืองนั้น ภาพที่เห็น หญิงสาวถูกตัดมือ ตัดเท้า และเสียชีวิต ตายตรงหน้าเอลิซาเบธ เธอบอกกับคนเลี้ยงสัตว์ของเธอว่า นักร้องผู้นี้ทำความผิด จึงมีโทษต้องตาย และนี่คือความผิดพลาดของเอลิซาเบธเพราะคนเลี้ยงสัตว์คนนี้ก็ปากเปราะเสีย ด้วยสิ

ว่าแล้วกิตติศัพท์นี้ย่อมต้องกลายเป็นที่เลื่องลือในไม่ช้า ประชาชนก็เริ่มร้องเรียนเรื่องไปยังราชสำนักถึงเรื่องคนหาย และมีญาติของเด็กหลายรายยืนยันว่าเด็กสาวที่ตายกันเป็นกองๆใกล้ปราสาทของเอ ลิซาเบธ อยู่นั้นล้วนแล้วแต่ถูกล่อลวงให้มาที่ปราสาทเธอ

และแล้วพระเจ้าแมทเทียสที่ 2 ก็ทรงเข้ามาจัดการกับคดีนี้ด้วยพระองค์เอง .....เดือนธันวาคมปี 1610 เมื่อมาร์ควิสเธอร์โซซึ่งเป็นญาติของเอลิซาเบธ ไปยังห้องใต้ดินของปราสาทเซติช เขาก็ต้องผงะกับสิ่งที่ตัวเองพบ เครื่องทรมานจำนวนนับไม่ถ้วน รอยเลือดที่ชโลมอยู่แทบทุกที่และศพที่กองเป็นภูเขา บางศพถูกตัดทรวงอก บางศพถูกเฉือนเนื้อ บางศพก็ศีรษะถูกทุบจนแหลก และบางศพก็เต็มไปรู กลิ่นเลือดตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง มีเด็กสาวบางคนถูกช่วยออกมาได้ แต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกันเพราะพวกเขาพบเธอในขณะที่นอนหายใจรวยรินยังไม่ เสียชีวิต เธอเล่าว่าเธอถูกจับมาพร้อมเพื่อนสาวอีกเป็นจำนวนมากโดยมีสาวใช้สองคนของเอ ลิซาเบธคือ นางดอลค์และนางรีโอน่า เป็นคนสังหารนำเลือดมาให้ผู้เป็นนายชโลมผิว เพราะเชื่อว่าเลือดคือยาอายุวัฒนะ แต่ก็ยากที่บอกว่าพวกเธอปลอดภัยดี เพราะหลายคนถูกบังคับให้กินเนื้อจากศพของเด็กสาวคนอื่น จนบางคนกลายเป็นคนวิกลจริตด้วยซ้ำ เอลิซาเบธ บาโธรี่ ถูกสอบสวนในปี ค.ศ. 1610 อย่าว่าแต่พวกชาวไร่ชาวนาเลย บรรดาผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายต่างอาฆาตแค้น และญาติสนิทของเธอเองก็โกรธเคืองอย่างหนักว่าเธอซาดิสต์ขนาดนี้ วงส์ตระกลูบาโธรี่เสื่อมเสียกันหมด ไม่มีอำนาจใดๆที่จะช่วยให้นางฟ้าหรือผีห่าซาตานตนนี้พ้นผิดไปได้แล้ว ลูกมือของเคาน์เตสเปิดปากสารภาพเล่าวิธีการ และบอกถึงรายนามเหยื่อเท่าที่พวกเขาจำได้เฉพาะที่จำได้ก็ปาเข้าไปตั้ง 160 ศพ เดือนมกราคมปี 1611 การตัดสินคดีของเอลิซาเบธถูกจัดขึ้นที่พิซเซ่ เอลิซาเบธได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องมาขึ้นศาลด้วยตัวเอง และเนื่องจากฎีกาของตระกูลบาโธรี่ เธอก็รอดพ้นจากโทษประหารในขณะที่ผู้มีส่วนร่วมในการสังหารทุกคนต่างก็ถูกตัดสินโทษเผาทั้งเป็น โดยผู้มีส่วนร่วมเป็นสาวใช้สองคนที่ทำหน้าที่ค้นหาและจับผู้หญิงสาวเคราะห์ร้ายมาสังเวยแก่เธอถึง 605 คน

หลังการไต่สวนสมุนเอกของเคาน์เตสถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็นในที่สาธารณะเธอ ถูกลากกลับไปที่ปราสาทเซติซ ของเธอเอง ที่นั้นเธอถูกรุนเข้าไปอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองก็ก่ออิฐปิดหน้าต่างและประตูทั้งหมด เหลือไว้เพียงชองเล็กนิดเดียวที่พอจะสอดอาหารและน้ำส่งให้เธอได้ ลองโดนขังไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันขนาดนี้ เป็นคนอื่นล่ะตายไปนานแล้วแต่บาปหนาของเธอทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่รู้รสความทรมานที่แสนสาหัสนานถึง 4 ปี

การตัดสินโทษของเอลิซาเบธ ถูกโอนให้เป็นอำนาจของตระกูลบาโธรี่ และโดยผลการประชุมของตระกูล เอลิซาเบธ ก็ถูกตัดสินให้ถูกจองจำอยู่ในปราสาทเซติชไปจนตลอดชีวิตในห้องขังอันมืดมิด ซึ่งประตูถูกโบกปูนปิดตายตลอดชิวิต ไม่ให้หลุดมาทำอันตรายใครได้อีก

21 สิงหาคม 1614 ก็เป็นวันที่ปราศจากสัญญาณชีวิตจาก เอลิซาเบธ บาโธรี่ ช่องเล็กๆ เพียงช่องเดียวก็ได้ถูกอิฐก่อปิดสนิทลง แต่มีบางตำนานกล่าวว่าเธอหนีออกไปได้และกลายเป็นผีร้ายอยู่ในป่าของฮังการี่ ทุกวันนี้ ปราสาทเซติซ บนภูเขาคาร์ลปาเชีย ในสโลวาเกีย ที่ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่สังหารเหยื่อของเอลิซาเบธ ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น แม้จะเหลือแต่ซากปรักหักพังแล้ว แต่มันก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่เช่นเดิม

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

LES VOCABULAIRES (คำศัพท์)

là-bas (ลาบ่า) ที่นั่น

ici ( อีซิ )ที่นี่

proche (โพช) ใกล้

loin (ลวง) ไกล

tout droit (ตุ๊ ดรัว) ตรงไป

à gauche (อา โกช )ทางซ้าย

à droite (อา ทดัว) ทางขวา

en haut (ออง โอ) ข้างบน

en bas (ออง บา) ข้างล่าง

devant le magasin (เดอวอง เลอ มากาซัง) ข้างหน้าร้านค้า

derrière (แดริแย )ข้างหลัง

en face (ออง ฟาส) ฝั่งตรงข้าม

à l'intérieur (อา แลงแตริเยอ) ข้างใน

à l'extérieur (อา เล๊กแตริเยอ) ข้างนอก

entre (อ้อง) ระหว่าง

au coin de (โอ กวง เดอ) อยู่ตรงมุม

près de (แพร เดอ )ใกล้จาก

à côté de (อา โกเต้ เดอ) ข้างๆ

avant (อาวอง )ก่อนหน้า

après (อัพแพร) หลังจาก

sur (ซู )บน

sous (ซุ )ล่าง

dans (ดอง) ใน

Tournez à droite (ตูนเน่ อา ทดัว )เลี้ยวขวา

Traversez la rue (ทาแวกเซ่ ลา ครู) ข้ามถนน

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Antoine de Saint-Exupéry. Qui c'est?

Antoine de Saint-Exupéry

อ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี

อ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี (ฝรั่งเศส: Antoine de Saint-Exupéry) เป็นนักเขียนและนักบินชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1900มีงานเขียนเป็นจำนวนมากในภาษาฝรั่งเศส ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเจ้าชายน้อย อ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรีหายสาบสูญขณะบินลาดตระเวนอยู่เหนือน่านฟ้าแอฟริกาเหนือเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1944
ในปี ค.ศ. 1998 ชาวประมงชื่อ ฌ็อง-โกลด บีย็องโก ชาวฝรั่งเศส ได้พบชิ้นส่วนที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นสร้อยข้อมือของแซ็งแตกซูว์เปรี ขณะจับปลาอยู่ทางตอนใต้ของเมืองมาร์แซย์ ในปี ค.ศ. 2000 นักประดาน้ำชื่อ ลุก ว็องแรล ได้พบซากของเครื่องบิน P-38 Lightning ซึ่งทางการฝรั่งเศสได้กู้ขึ้นมา และยืนยันว่าเป็นเครื่องบินลำที่แซ็งแตกซูว์เปรีเป็นนักบิน
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 นักบินขับไล่ชาว เยอรมันชื่อ Horst Rippert วัย 88 ปี ได้ออกมายืนยันว่า เขาเป็นนักบินที่ทำการลาดตระเวนในบริเวณที่พบซากเครื่องของแซ็งแตกซูว์เปรี ในคืนวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 และเป็นผู้ยิงเครื่อง P-38 Lightning ตกในคืนนั้น เขากล่าวว่าเขาเป็นแฟนหนังสือของแซ็งแตกซูว์เปรี และทราบในภายหลังสงครามว่าอาจจะเป็นผู้ยิงเครื่องบินของแซ็งแตกซูว์เปรีตก
แผ่นดินของเรา (แซ็งแตกซูว์เปรี)
แผ่นดินของเรา (ฝรั่งเศส: Terre des Hommes) เป็นวรรณกรรมฝรั่งเศสร่วมสมัยเขียนโดยอ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้เขียนเรื่องเจ้าชายน้อย ใน แผ่นดินของเรา ผู้เขียนได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับปรัชญาชีวิต ผ่านทางเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้เขียนและเพื่อนร่วมงานประสบด้วยตนเอง ขณะปฏิบัติงานเป็นนักบินขนส่งไปรษณีย์ในทวีปยุโรป แอฟริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต้ สำนักวรรณกรรมหลายสำนักทั่วโลกได้ยกให้แผ่นดินของเราเป็นผลงานที่ดีที่สุดของอังตวน เดอ แซง-เตกซูเปรี วรรณกรรมเรื่องแผ่นดินของเราฉบับภาษาฝรั่งเศสตีพิมพ์ครั้งแรกใน ค.ศ. 1939

ผลงาน

1929 - Courrier sud (ไปรษณีย์ใต้)

1931 - Vol de nuit (เที่ยวบินกลางคืน)

1939 - Terre des Hommes (แผ่นดินของเรา)

1942- Pilote de Guerre

1943 – Le Petit Prince (เจ้าชายน้อย)

1943 - Lettre à un Otage

1948 - Citadelle






สรุปใจความสำคัญ

หรือที่ชาวฝรั่งเศสในปัจจุบันเรียกขานกันสั้นๆ เป็นที่รู้กันว่า แซงต์-เตก เกิดที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ.1900 ณ บ้านเลขที่ 8 ถนน ดุ เปย์ราต์ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นถนนอองตวน เดอ แซงต์-เตกซูเปรี นอกจากเป็นนักเขียนชื่อเลื่องระดับโลกแล้ว ยังเป็นกวีและนักบินอีกด้วย งานเขียนส่วนใหญ่เขาจะเป็นเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอาชีพการเป็นนักบิน เช่น Courrier sud (ไปรษณีย์ใต้), Vol de nuit (เที่ยวบินกลางคืน), Terre des Hommes (แผ่นดินของเรา) เป็นต้น
ส่วน Le Petit Prince (เจ้าชายน้อย) ที่สร้างชื่อเสียงระดับนานาชาติให้เขานั้น เป็นผลงานเชิงนิทานกึ่งปรัชญาที่สอดแทรกการวิพากย์วิจารณ์สังคมตลอดจนความประหลาดของโลกผู้ใหญ่

ว่ากันว่า
- อองตวน เดอ แซงต์-เตกซูเปรี มีความสนใจดินแดนห่างไกลและการผจญภัยมาตั้งแต่เด็กๆ เขาจึงพยายามออกจากกรอบของตระกูลชนชั้นขุนนางของตนด้วยการหันไปคลั่งใคล้ในเครื่องบิน คบหาเพื่อนฝูงแปลกๆ และพยายามในการนำสัตว์ป่ามาฝึกให้เชื่อง ไม่ว่าจะเป็นหมาจิ้งจอก กวาง กิ้งก้า ลูกแมวน้ำ สิงโตภูเขา ที่เขานำขึ้นเครื่องบินด้วยจนเกิดอุบัติเหตุจ้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองครั้ง

- อองตวน เดอ แซงต์-เตกซูเปรี เป็นนักเรียนหัวปานกลาง สอบเข้าโรงเรียนนักบินนาวีไม่ติด ด้วยความเจ็บใจ เมื่อถึงวัยเกณฑ์ทหารเขาจึงเลือกเข้ารับการฝึกในหน่วยการบินแทน
- อองตวน เดอ แซงต์-เตกซูเปรี เป็นนักบินที่มักจะเหม่อใจลอย เลยได้รับสมญานามจากพวกช่างเครื่องว่า ?หมุดปักจันทรา?
- อองตวน เดอ แซงต์-เตกซูเปรี เป็นนักบินต่างชาติคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเครื่องบินขนาดยักษ์ของสหภาพโซเวียต รุ่น Tupolev ANT-20 (หรือที่เรียกกันว่า Maxim Gorky)
- อองตวน เดอ แซงต์-เตกซูเปรี เป็นนักประดิษฐ์ด้วย เขาจดทะเบียนลิขสิทธิ์ผลงานการคิดค้นเอาไว้นับสิบชิ้น และยังเป็นผู้พัฒนาทางแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลายข้อ
- เจ้าชายน้อย ของ อองตวน เดอ แซงต์-เตกซูเปรี พลาดจากการสร้างเป็นภาพยนตร์โดยบริษัทวอลต์ ดิสนีย์ หลังจากวอลต์ ดิสนีย์ อ่านนิทานเรื่องนี้จบ และกล่าวว่าในบริษัทของเขาไม่มีที่ว่างพอสำหรับอัจฉริยะสองคน